นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยกระจายอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นนิคิมอุตสาหกรรมบ่อทอง ,นิคมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC) ทั้งของอมตะ และ WHA
อย่างไรก็ดี ต้องทำความเข้าใจก่อนว่านักลงทุนจีนจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ จีนแท้ และจีนไต้หวัน โดยกลุ่มที่มีแนวโน้มเข้ามาลงทุนแน่ และน่าจะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องคือกลุ่มจีนไต้หวันโดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี
สำหรับธุรกิจหลักที่เข้ามาลงทุนจะเป็นประเภทโรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการคัดแยก หรือฝังกลบสิ่งปฏิกูลที่ไม่ใช้แล้ว ,โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้ว ,เซมิคอนดักเตอร์ โดยปัจจุบันมีการลงทุนในกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มมากขึ้นจากหบายประเทศ ไม่ใช่เฉพาะแค่จีนเท่านั้น
สำหรับปัจจัยสำคัญ หรือแรงจูงใจที่ทำให้นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในนิคมฯของไทยเพิ่มมากขึ้น มาจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ต้องย้ายสายการผลิต เนื่องจากไม่มั่นใจว่าอยู่จีนต่อแล้วจะเป็นอย่างไร
ขณะที่ทำเลที่เหมาะสมเวลานี้ก็คือในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย
อย่างไรก็ตาม หากถามว่าไทยช้ากว่าประเทศอื่นหรือไม่ในแง่การดึงการลงทุน ต้องยอมรับความจริงว่าส่วนใหญ่ช้า เพราะติดข้อกฎหมายที่ค่อนค้างจุกจิก ทำให้การดำเนินการทุกอย่างช้าไปหมด แต่ธุรกิจต้องการความรวดเร็ว มีความแน่นอน ไม่ชอบสถานการณ์ที่ผันผวน หรือทำให้ประหลาดใจ ขณะที่ไทยมีเรื่องให้ต้องเซอร์ไพรส์เป็นจำนวนมาก
“เวลานี้นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในนิคมฯเป็นจำนวนมาก เพราะบริษัทจีนที่อยู่นอกนิคมฯมาก่อนเริ่มมีปัญหา ไม่ว่าจะโดนสั่งปิดโรงงาน หรือถูกจับ เพราะทำผิดกฎระเบียบ แต่หากย้ายเข้ามาอยู่ในนิคมฯแม้ว่าจะโดนปิด ก็จะมีกระบวนการแก้ปัญหา มีมาตรฐานที่สูงกว่า จึงเลือกที่จะเข้ามา เพราะไม่ชอบปัญหาจุกจิก กนอ.เองก็พยายามหาธุรกิจที่ใหญ่พอมาช่วยสนับสนุน โดยปัจจุบันก็ช่วยเต็มที่เพื่อช่วยผู้ประกอบการนิคมฯของไทย”
นายสุเมธ กล่าวอีกว่า ในปี 2568 กนอ. พยายามเร่งให้โครงการในพื้นที่อีอีซีอนุมัติโครงการมากที่สุด รีบดำเนินการ ไล่กระบวนการ ปัจจุบันผ่านการอนุมัติจากบอร์ดแล้วเรื่องการแบ่งเขตนิคมฯกับพื้นที่ชุมชน หลังจากนั้นค่อยไปประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment Report : EIA) โดยเชื่อว่าหากมีการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนได้สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น
“ตอนนี้เป้าหมายของ กนอ. คือการเพิ่มที่ดินในพื้นที่ของนิคมฯใหม่ เพื่อให้นักลงทุนทราบว่ามีที่ดินให้เลือกหลายแบบ”
ขณะที่แนวโน้มการเข้ามาลงทุนของจีนนั้น มองว่าจะต่อเนื่องไปอีก 3 ปี แต่หากไทยยังดำเนินการล่าช้าก็จะไม่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว การจะดันจีดีพีให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1% นั้น เชื่อว่าทำได้แน่ เพราะไม่ว่าจะมองมุมใดก็มีโอกาส และด้วยความที่ไทยมีเสถียรภาพไม่ผันผวน ไทยก็ถือว่าเป็นทำเลในการลงทุนที่น่าอยู่กว่าเวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
“ปัญหาทุกวันนี้ที่ทำให้การลงทุนชะลออตัว หรือหยุดชะงักมาจากกฏระเบียบที่มาก โดยปีนี้ กนอ.มีเป้าหมายคือการพยายามผลักดันให้มีการจดทะเบียนนิคมฯให้ได้เดือนละกี่ไร่เป็น KPI ไม่เช่นนั้นที่ดินไม่พอขาย ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเร่งให้เร็วสุด เนื่องจากมีคำขอเข้ามาเป็นจำนวนมาก ดังนั้น จะต้องทำทุกอย่างให้เร็ว มีการแก้ระเบียบ ดำเนินการเรื่องการจัดหาพลังงานสะอาด น้ำคุณภาพ เพื่อรองรับการลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ และอุตสาหกรรมใหม่
จากการตรวจสอบของ ”ฐานเศรษฐกิจ“ เกี่ยวกับข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนจีนจาก กนอ. พบว่า