ดึงงานวิจัยดัน “ระเบียงเศรษฐกิจชายแดน” เชื่อมเพื่อนบ้านปั๊มรายได้

08 ส.ค. 2565 | 11:15 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ส.ค. 2565 | 18:20 น.

บพท.ดึงงานวิจัยดัน “ระเบียงเศรษฐกิจชายแดน” เชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน สร้างรายได้ เป็นอีกหนึ่งโมเดลที่ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทย โดยนักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก ประสานเสียงนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญ ร่วมมือผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจระดับภูมิภาค

รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เปิดเผยในเวทีการประชุมผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแสวงหาแนวทางการยกระดับความมั่นคงและพัฒนาคุณภาพชีวิตชายแดน โดยระบุว่า

 

บพท.ได้ตั้งเป้าหมายในปี 2566 ส่งเสริมการวิจัยด้านต่าง ๆ เช่น การเชื่อมโยงชายแดนด้วยคนและวัฒนธรรม การเชื่อมโยงด้วยโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมโยงด้วยการลงทุน และการเชื่อมโยงทางนโยบาย เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยขยายเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ เป็นระเบียงเศรษฐกิจที่ยั่งยืน สร้างความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

ทั้งนี้มีข้อยืนยันชัดเจนจากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งระบุว่ามูลค่าการค้าชายแดนปี 2564 อยู่ที่ 1.71 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 33 จากปี 2563 ทั้งที่อยู่ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการเชื่อมโยงทางการค้าและมูลค่าทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอินโดจีนมีการเติบโตขึ้นมาก ขณะที่ประเทศไทยก็มีนโยบายเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษมาก แต่การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากนโยบายนี้ยังทำได้ไม่มากเท่าที่ควร

 

ดร.ชนินทร์ มโนภินิเวส นักเศรษฐศาสตร์โครงสร้างพื้นฐาน ภูมิภาคเอเชียตะวันออก และแปซิฟิก ประจำธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ แต่ละประเทศจำเป็นต้องมีการหารือกันถึงความร่วมมือกันให้ชัดเจน เพราะปัจจุบันเราเห็นประเทศในระเบียงเศรษฐกิจเดียวกันประกาศว่าจะเป็นศูนย์กลาง (HUB) กันหมด ย่อมทำให้ระเบียงเศรษฐกิจหมดความหมายไป 

 

ตัวอย่างเช่น การเชื่อมโยงจากไทย สปป.ลาว ไปยังเวียดนาม จะเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันได้มากขึ้น แต่ก็ต้องดูในเรื่องของต้นทุน และประสิทธิภาพการขนส่งด้วย โดยประสิทธิภาพของการขนส่งสินค้าข้ามแดนบางส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของกฎหมาย และกฎระเบียบการขนส่งสินค้าข้ามแดน เพราะบางครั้งปัญหา และอุปสรรคเกิดขึ้นในส่วนของกฎระเบียบของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกันด้วย

 

ด้าน ศ.ดร. รุธิร์ พนมยงค์ คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจชายแดน นอกจากการเชื่อมต่อที่เป็นหัวใจสำคัญแล้ว ยังต้องพิจารณาในเรื่อง กรอบปฏิบัติ กฎระเบียบ ข้อตกลงต่าง ๆ ระหว่างประเทศ ทั้งในระดับทวิภาคี ไตรภาคี พหุภาคี หรือในระดับอนุภูมิภาค หรือภูมิภาค ซึ่งแต่ละประเทศจะต้องปรับปรุงให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกันให้ได้ 

พลเอกสุรสิทธิ์ ถนัดทาง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ระบุว่า พื้นที่ชายแดนนั้นมีศักยภาพที่สามารถยกระดับให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจหลักได้ เห็นได้จากมูลค่าการค้าชายแดนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

 

โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนทางภาคใต้ที่สามารถเชื่อมโยงไปไกลตั้งแต่มาเลเซีย สิงคโปร์ จนถึงอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันในชายแดนทางด้านจังหวัดหนองคาย กำลังตื่นตัวอย่างมากกับการที่ประเทศลาวมีรถไฟฟ้าความเร็วสูง

 

“แม่น้ำโขง เดิมทีไม่ใช่เส้นกั้นพรมแดน แต่เป็นเส้นทางที่ไทยและประเทศเพื่อนบ้านใช้ร่วมกัน พอเป็นเส้นแบ่งวิธีคิดก็เปลี่ยนไป ต้องเปลี่ยนทัศนคติเดิมให้หมดไป แล้วมาสร้างความรู้มาแลกเปลี่ยนกัน ทุกประเทศต้องร่วมมือกันทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เป็นเศรษฐกิจสังคมร่วมกัน และต้องเป็นอย่างนี้ในทุก ๆ พื้นที่ชายแดนด้วย” พลเอกสุรสิทธิ์ ระบุ

 

ขณะที่ นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ กล่าวว่า การสร้างความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ในกรณีโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ทำให้เกิดเป็นระเบียงเศรษฐกิจของแม่น้ำโขงในเชียงราย ซึ่งในระยะต้นจังหวัดอื่น ๆ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องของเชียงรายเท่านั้น แต่ปัจจุบันจังหวัดภาคเหนือเกิดความเข้าใจและเห็นประโยชน์ร่วมกันแล้ว

 

โดยตั้งแต่อดีตปัญหาการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนก็คือ เรื่องของจุดผ่านแดน เพราะมักจะเน้นการลงทุนโครงสร้างของด่านผ่านแดน ขณะที่กฎระเบียบการผ่านแดนนั้นถือว่ายังมีข้อจำกัดอยู่มาก ตามนโยบายของแต่ละประเทศทำให้เป็นต้นทุนการทำธุรกิจที่สูง