อยู่อย่างไรให้เป็นสุขกับชีวิต

10 มิ.ย. 2564 | 06:00 น.
1.6 k

อยู่อย่างไรให้เป็นสุขกับชีวิต : คอลัมน์ข้าพระบาททาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3686 ระหว่างวันที่ 10-12 มิ.ย.64 โดย...ประพันธุ์ คูณมี

วันนี้ขอพูดคุยและปรับทุกข์กับพี่น้องคนไทย คุยความรู้สึกในใจกับเพื่อนพ้องน้องพี่และท่านผู้อ่านสักวันครับ เพราะการอยู่ในสังคมไทย สังคมโลก ที่กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติจากโควิดอย่างทุกวันนี้ เราท่านทั้งหลายคงต้องปรับความคิด ความรู้สึก และทำใจตนเองให้เข้มแข็ง จึงจะมีพลังสู้และมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเป็นสุขได้

เพราะปัญหายามนี้หนักหน่วงที่สุดกว่าที่เคยพบ เราทุกคนจึงต้องมีจิตใจอันมั่นคง กำลังใจและสติปัญญาอันเข้มแข็ง จึงจะรับมือกับสถานการณ์และเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นแวดล้อมใกล้ตัวเรา ที่ต้องพบเห็นในทุกๆ วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเจ็บ ความตาย ของคนที่รักและเคารพ เพื่อนสนิทมิตรสหายที่ใก้ลตัว ที่ทยอยล้มตายไปในทุกๆ วันจากโควิดโรคร้าย ที่ไม่เลือกหน้า ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่ารวย หรือ จน

ไม่เพียงเท่านั้น สภาพชีวิตความเป็นอยู่และการประกอบการค้า การทำมาหากินของผู้คน ต่างเดือดร้อนฝืดเคืองกันถ้วนหน้า ได้แต่ตั้งตารอคอยว่าสักวัน เมื่อไหร่วิกฤติที่เลวร้ายจะผ่านพ้น การรอความหวังและความช่วยเหลือจากรัฐ ก็ยังสับสนวุ่นวายไร้ความชัดเจน หรือความแน่นอน ชีวิตผู้คนในสังคมจึงล้วนตกอยู่ในความทุกข์ความเป็นกังวล กับชีวิต และอนาคตของตนและคนในครอบครัวแทบทั้งสิ้น

ในไลน์ของผู้สูงวัยทั้งหลาย ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารสำหรับผู้ใหญ่ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกัน เปิดอ่านทุกวันก็จะพบแต่ข่าวที่แสดงความเสียใจและความอาลัย กับผู้ที่ต้องพรากจากกันไป หาข่าวดีๆ ให้ชุมชื่นสุขใจมีน้อยกว่าข่าวร้ายๆ ดูข่าวเปิดอ่านไลน์ทีไร ต้องมีเรื่องให้สะเทือนใจแทบทุกๆ วัน โดยเฉพาะจากไลน์เพื่อนที่เป็น แพทย์ พยาบาล ที่มีหน้าที่ต้องดูแลคนไข้ ICU ตลอดเวลา ก็รู้ว่าชีวิตของแพทย์ พยาบาลเหล่านั้น ยิ่งพบแต่เรื่องราวที่เศร้าสะเทือนใจทุกๆ วัน ที่มิอาจช่วยเหลือผู้ป่วยในรายที่รุนแรง ให้รอดชีวิตกลับไปพบหน้าลูกและภรรยา ญาติพี่น้องและคนที่รักได้  

โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเชื้อโควิด เมื่อต้องเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาล ก็มิอาจอยู่ใกล้ชิดลูกหลาน ให้เข้าเยี่ยมและคอยให้กำลังใจเหมือนผู้ป่วยอื่น ซึ่งถูกปล่อยให้อยู่โดยลำพัง คงมีเพียงแพทย์และพยาบาลเท่านั้น ที่พอจะเป็นเพื่อนคอยพูดคุยปลอบโยนและให้กำลังใจ เมื่อต้องเสียชีวิตก็มิอาจทำพิธีกรรม จัดการงานศพได้ตามปกติประเพณี ความโหดร้ายของโควิด จึงอำมหิตทำลายชีวิตและทำลายความสุขของคนไปทั้งโลก ทำลายเศรษฐกิจและสังคมให้ย่อยยับ ยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งใดๆ เสียอีก

เมื่อหันมาพิจารณาการบริหารจัดการของรัฐบาล เพื่อการรับมือกับปัญหาและวิกฤติดังกล่าว ที่ยังดูสับสนและไม่ค่อยจะถูกใจประชาชน ก็ยิ่งจะทำให้จิตใจของเราเป็นทุกข์กังวลเพิ่มขึ้น ยิ่งคาดหวังสูงก็ยิ่งทำให้ผิดหวังสูงตามไปด้วย ทำให้ชีวิตผู้คนช่วงนี้ มีความสุขลดลงไปมาก แล้วจะทำให้ชีวิตเป็นสุขได้อย่างไรภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้าย  

ข้อแนะจากผู้รู้ทั้งหลาย ต่างให้คำแนะนำตรงกันว่า อย่าคาดหวังจากผู้อื่น อย่ารอคอยและคาดหวังจากรัฐ จงปฏิบัติและเข้มงวดจัดการกับตนเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เมื่อเราเป็นชาวพุทธก็ต้องแก้ปัญหาและยึดถือแนวทางตามวิถีของชาวพุทธ ชีวิตก็จะเป็นสุขตามสถานการณ์ ทุกข์ก็จะผ่อนคลายลงได้  นี่คงเป็นวิถีทางเดียวที่จะทำให้เราท่านเป็นสุขได้  

ธรรมะ คำสอนตามหลักพุทธศาสนา เป็นโอสถที่ดีในการรักษาโรคและปัญหาทางใจคน ซึ่งคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลสำคัญของประเทศ ก็นำหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา มาใช้รักษาเยียวยาจิตใจผู้ป่วย หรือประชาชนผู้วิตกกังวลทางจิตใจ ให้หายและคลายความทุกข์กังวลลงได้ ด้วยธรรมะโอสถนี่เอง

ดังปรากฏโในบทความของ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่รวบรวมและเรียบเรียงโดย นางจิรา เติมจิตอารีย์ พยาบาลจิตเวช ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า เป็นการใช้ธรรมะมาใช้เยียวยาจิตใจผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมกับสภาวะปัญหาจิตใจของผู้คน จึงขอคัดข้อความบางส่วนมาบอกกล่าวกับผู้อ่าน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับหลายๆ ท่านในภาวะสถานการณ์ทางสังคมขณะนี้

ท่านขึ้นต้นบทความ "ทำอย่างไรจึงอยู่อย่างมีความสุข" ด้วยคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ว่า "ความเอ๋ยความสุข ใครๆ ทุกคนชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา แกก็สุข ฉันก็สุขทุกเวลา แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจ ถ้าเราเผาตัวตัณหา ก็น่าจะสุข ถ้ามันเผา เราก็ "สุก" หรือเกรียมได้ เขาว่าสุข สุขเน้อ อย่าเห่อไป มันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอย"

นอกจากนี้ยังนำคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ มาแทรกย้ำในบทความอีกบท "จงใช้ชีวิตอยู่เพื่อวันนี้เท่านั้น” ว่า "สิ่งล่วงแล้ว แล้วไป อย่าใฝ่หา ที่ไม่มา ก็อย่าพึงคนึงหวัง อันวันวาน ผ่านพ้น ไม่วนวัง วันข้างหน้า หรือก็ยัง ไม่มาเลย"  

เมื่ออ่านคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ประกอบข้อแนะนำ 10 ข้อ ตามบทความดังกล่าวแล้วคือ 1.การรักษาสุขภาพทางกายให้แข็งแรง 2.มีความสุขกับการทำงาน 3.รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง 4.มีอารมณ์ขันมองโลกในแง่ดี 5.ไม่ควรเก็บอารมณ์ขุ่นมัว 6.ควรมีงานอดิเรกและการพักผ่อนหย่อนใจ 7.หาสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ 8.พร้อมที่จะเผชิญปัญหาและความกังวลใจ 9.ใช้เวลาเป็นยารักษาความเจ็บปวด 10.ค้นหาเป็าหมายของชีวิต   

เมื่ออ่านบทความที่ท่านพยาบาลท่านนี้ได้รวบรวมเรียบเรียงมา ก็พาให้อารมณ์และจิตใจดีขึ้น ปรับมุมคิดและมุมมองต่อชีวิตให้เข้าใจปัญอะไรต่อมิอะไรได้อย่างเข้าใจ จึงแนะนำให้หาอ่านบทความนี้ ในเวปไซต์ของ โรงพยาบาลรามาธิบดี ลองดู ท่านอาจได้โอสถที่ดีกับชีวิตกว่ายาแผนปัจจุบัน

ในสถานการณ์บ้านเมืองยามนี้ ทุกคนต้องเผชิญกับปัญหาการระบาดของโรคร้ายโควิด ที่คร่าชีวิตผู้คนนับร้อยล้านชีวิต และยังเกิดขึ้นในทุกๆ วันยังไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด ไม่เพียงเท่านั้น เรายังถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤติทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วง หากต้องนำปัญหาทางการเมืองและเรื่องอื่นมาซ้ำเติมเข้าไปอีก ประเทศไทย สังคมไทย ไม่รู้จะอยู่หรือก้าวเดินต่อไปอย่างไร  ชีวิตจะอยู่กันอย่างไร คนไทยจึงจะเป็นสุข  

เจอเพื่อนพ้องน้องพี่ที่บ่นท้อไม่พอใจการบริหารจัดการของรัฐบาล ไม่มีความสุขกับการเมืองการปกครองประเทศขณะนี้ ถามว่าจะจัดการกับปัญหาบ้านเมืองอย่างไร ผมก็ได้แต่แนะนำว่า หาธรรมะ คำสอนดีๆ ทางพุทธศาสนามาอ่านเถอะครับ อ่านบทความที่มีข้อแนะนำดีๆ มาศึกษา จัดการดูแลกับตนเองให้ดี ชีวิตก็น่าจะเป็นสุขและก้าวเดินต่อไปได้

เมื่อบ้านเมืองของเราเป็นแบบนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ "ใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว" อดทนอดกลั้นไว้ก่อนเถอะ เพราะสัตว์มนุษย์ย่อมเป็นไปตามกรรมครับ ทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง คิดได้เช่นนี้ เราก็จะอยู่อย่างเป็นสุขครับ