ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับผลดำเนินธุรกิจปี 2566 สำหรับ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ของตระกูลชินวัตร ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของเมืองไทย สะท้อนรายได้ การเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ 24,737 ล้านบาท หรือ 14% นับเป็นนิวไฮ เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้ 21,583 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,482 ล้านบาท โดยปีนี้ เอสซี แอสเสท ก้าวสู่ทศวรรษที่3 วางวิสัยทัศน์ 5 ปี (2567-2571) เติบโต1.5แสนล้านบาท หรือปีละ 3 หมื่นล้านบาท แต่จะนำพาธุรกิจเดินหน้าอย่างไร ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน
คุณพงศ์ “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีอีโอ “เอสซี แอสเสท” ถ่ายทอด เรื่องราวการดำเนินธุรกิจและวิธีคิดนำพาองค์กร ให้ก้าวข้ามปัจจัยเสี่ยง โดยระบุว่า ภายใต้เศรษฐกิจผันผวน ทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ ที่มีความเชื่อมต่อสูง เปลี่ยนแปลงเร็ว และมีผลเชื่อมมายังบริษัทอย่างรวดเร็วในทุกอุตสาหกรรม
ประเมินว่า เอสซี แอสเสท ต้องเตรียมรับมือสถานการณ์ โดยเน้น 2 เรื่อง 1. สร้างความหลากหลาย และ 2.สร้างคุณค่าเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
คุณพงศ์ขยายความว่า “ความหลากหลาย” ในที่นี้ เอสซี แอสเสทไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง สิ่งเดียวที่ทำได้คือสร้างความหลากหลายทางธุรกิจ หากเกิดเหตุการณ์ขึ้น สามารถมีหลายเครื่องยนต์ เข้ามาช่วยเหลือเติมเต็ม มีความหลากหลายสินค้า ซึ่งในหนึ่งธุรกิจสินค้า ต้องหลากหลาย และหลากราคา รวมถึงแหล่งเงินทุน โดยมองว่ายุคนี้แหล่งเงินทุนสำคัญหากเรามีแหล่งเงินจากสถาบันการเงิน หุ้นกู้ และผู้ร่วมทุนเราจะวิ่งได้ไกลมากขึ้น
อีกเรื่องสำคัญ คือ “คุณค่า” โลกยุคนี้ธุรกิจอย่างเดียว เติบโตไม่ได้ ต้องโตไปกับคนรอบข้าง พนักงาน ลูกค้า หรือแม้แต่สื่อมวลชน คนที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งล้วนมีผลทั้งสิ้น รวมไปถึงสิ่งแวดล้อม ดังนั้นสิ่งที่เอสซี แอสเสท ดำเนินการในทศวรรษที่ 3 จะเน้นความหลากหลาย สร้างคุณค่า ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ วิธีคิดที่วางไว้
เมื่อถามว่าจะเห็นผลเมื่อใดสำหรับความหลากหลาย คุณพงศ์ ฉายภาพให้เห็นว่า ช่วงก่อนโควิค คอนโดมิเนียมขายดีมาก เมื่อเข้าสู่ช่วงสถานการณ์โควิด กลับกลายเป็นว่าบ้านเดี่ยวขายดีมาก ซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และขายดีมาตั้งแต่ ปี 2563 -2565 และปี 2566 ความต้องการบ้านเดี่ยวเริ่มลดลง คอนโดมิเนียมที่เคยเงียบเริ่มกลับมาขายดีขึ้น ทั้งนี้ หากพอร์ตฟอลิโอ (Portfolio) ไม่หลากหลายเราจะไม่สามารถสร้างผลประกอบการที่ดีได้ ต่อเนื่อง
ที่เห็นชัดเจนคือการคาดการณ์ปีที่ผ่านมาทุกค่าย ประเมินว่า ตลาดจะดีแต่กลับไม่ดี เปิดโครงการขายเกินความต้องการ ขณะปีนี้ เป็นปีที่ตลาดไม่ดี ทำให้การเปิดตัวโครงการแต่ละค่ายลดลงมีความระมัดระวังมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยง และที่เริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมาคือ ค่ายใหญ่จะกินส่วนแบ่งตลาดสูง 70-80% และรายกลาง-รายเล็กอาจลำบาก เพราะลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์รวมถึงการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่แบรนด์สามารถนำมาใช้อ้างอิงได้
นอกจากนี้ เป้าหมายเอสซี แอสเสท ใน 5 ปีมีความตั้งใจ 1.มหาศาล 2.มั่นคง 3.สมดุล ความหมายคือหากจะสร้างคุณค่าให้คนมากมาย ธุรกิจต้องใหญ่พอ ถึงจะมีอิมแพคไปสร้างอะไรให้คนรอบตัว ดังนั้น จึงตั้งเป้าหมายรายได้ต่อปี 3 หมื่นล้านบาทขึ้นไป แต่ 3 หมื่นล้านบาท ยังไม่พอ ต้องมีความมั่นคงด้วย ซึ่งความมั่นคงในที่นี้คือการลงทุน
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เรื่องทุนสำคัญมาก เป็นแคปปิตอลอินเทนซีพ ซึ่งการเติบโตได้ต้องใช้เงินลงทุนจึงเป็นที่มา ซึ่งต้องมีความหลากหลายของแหล่งทุนและคนที่จะมาร่วมลงทุนกับเรา ส่วนสมดุล ตัวนี้ได้ให้ความสำคัญที่สุดคำว่า สมดุลต้องมีกำไรจากธุรกิจที่หลากหลายพอ คือ1.มหาศาล มีรายได้ปีละ 3 หมื่นล้านบาท 2.มั่นคง คือหนี้ลงทุนที่เหมาะสม และ 3 สมดุล คือธุรกิจจาก เครื่องยนต์ตัวที่ 2 หรือ Engine ที่ 2 ต้องมีความสมดุลมีสัดส่วนมากกว่า 25%
ดังนั้น กำไร100% เครื่องยนต์หลัก Engine ที่ 1 ให้น้ำหนักโครงการที่อยู่อาศัย 75% จำนวนนี้ แบ่งเป็นแนวราบ 50% แนวสูง 25% Engine ที่ 2 ลงทุน ในธุรกิจที่มีอนาคต เรื่องของ ท่องเที่ยวเกี่ยวกับโรงแรม อีคอมเมิร์ซ เรื่องของคลังสินค้า ซึ่งสองตัวนี้จะรวมกับธุรกิจออฟฟิศและอพาร์ตเมนต์ ในอเมริกาที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ รวมเป็น 4 ธุรกิจโดยใน Engineที่ 2 จะสร้างสัดส่วนกำไรมากกว่า 25% ลักษณะนี้การเติบโตในธุรกิจ 5 ปีจึงจะมหาศาล มั่นคง และสมดุลได้
คุณพงศ์มองว่าโรงแรมและคลังสินค้า เป็นเทรนด์ขาขึ้น สร้างรายได้ให้ผลตอบแทนเป็นเงินสดหมุนเวียนกลับมาเร็ว เป้าการลงทุนโรงแรม ปีละ15-20% 5 ปี จะมี 1,000-2,000 keys ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) พัทยาและภูเก็ต ปีนี้ในกทม. มีที่ราชวัตร กับสุขุมวิท 29 และอยู่ระหว่างลงทุนที่พัทยา อีก 2 แห่ง ซึ่งเป็นทั้งรูปแบบเช่าที่ดินเพื่อพัฒนาเองและร่วมลงทุน ซึ่ง ปัจจุบันเอสซีแอสเสท มีโรงแรมให้บริการแล้วเกือบ 600 keys
ส่วนคลังสินค้าลงทุนเพิ่มปีละ 1 แสนตารางเมตร ปัจจุบันมีทั้งที่เปิดแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการประมาณ 1.6 แสนตารางเมตร กระจาย 4 ทำเล ใช้รูปแบบร่วมทุนกับ Flash Group และอีกโครงการร่วมลงทุนกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นชาติที่คุ้นเคยมีนวัตกรรม ความชำนาญทั้งทางที่อยู่อาศัย คลังสินค้าและโรงแรม
รวมถึงอนาคตมีเป้าหมายร่วมทุน ในโครงการบ้านจัดสรรขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโครงการบ้านหรูที่เอสซี แอสเสท ถนัดและเป็นผู้นำตลาด โดยผู้ร่วมทุนมองเห็นความแข็งแกร่งทางการเงิน ความสำเร็จ การเติบโตอย่างต่อเนื่องและแบรนด์เป็นที่ยอมรับของลูกค้า ที่ปัจจุบันมีโครงการบ้านลักชัวรีในระดับราคาสูงสุดกว่า 200 ล้านบาทและคอนโดมิเนียมราคาสูงสุดกว่า 500 ล้านบาท
สำหรับเป้าหมายสร้างรายได้ของบ้านแนวราบ แต่ละปี อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาทปลายๆ ถึง 2 หมื่นล้านบาท และไม่มองข้ามตลาดทาวน์โฮมที่ยังมีความต้องการในระดับราคาที่ไม่สูงมาก รวมถึงตลาดคนรุ่นใหม่ที่เน้นการเช่ามากกว่าซื้อ เพราะมีรายได้ไม่พอกับการผ่อน ดังนั้นจึงมีแนวคิด ทำโครงการรูปแบบ เปลี่ยนค่าเช่าเป็นการซื้อเมื่อพร้อม แต่ภาพรวมพัฒนาโครงการยังเน้นตลาดบ้านหรู 70% เพราะเป็นตลาดหลักของเอสซี แอสเสท ที่คุณพงศ์ สะท้อนว่า การเป็นผู้นำตลาดบ้านกลุ่มนี้ ให้เป็นที่จดจำ นอกจาก การออกแบบ นวัตกรรม ทำเล สิ่งแวดล้อม และการบริการที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ แบรนด์ ที่แข็งแกร่ง
นี่คือ สูตรสำเร็จ ของ “เอสซี แอสเสท” กับเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน ในทศวรรษ ที่ 3 !!