บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ของกลุ่มตระกูลชินวัตร ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูงและสร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรม ประกาศแผนธุรกิจ 5 ปี (2567-2571) ก้าวสู่ปีที่ 30 ภายใต้ วิสัยทัศน์ “SC the Evolution” สร้างรายได้ที่ 1.5 แสนล้านบาท รายได้ทั้งหมดมาจากธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นธุรกิจหลัก และธุรกิจอาคารสำนักงาน โรงแรม คลังสินค้า ธุรกิจอสังหาฯเพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา
ที่จะเป็นฐานธุรกิจที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง ให้กับบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีแผนขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรต่างชาติอย่างต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จการวางกลยุทธ์ จากแผน 5 ปีก่อนมาแล้วและสามารถทำนิวไฮอย่างต่อเนื่อง ติดต่อกัน 4 ปี โดยเฉพาะปี 2566 สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 27,943 ล้านบาท และในปี 2567 ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่อง
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าวว่า ปี2567 เอสซี ก้าวเข้าสู่ ปีที่ 30 หรือทศวรรษที่ 3 นับหนึ่งในยุควิวัฒนาการ วิธิคิดคือ การอยู่รอดด้วยการปรับตัวให้เข้ากับบริบทการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว หากปรับตัวได้ดี สามารถอยู่รอดและสืบทอดสายสัมพันธ์ส่งต่อให้รุ่นหลังได้อย่างยั่งยืน ซึ่งบริบทยุคนี้เป็นโลกเทคโนโลยี โดยบริษัทจะต้องเติบโตไปพร้อมกับคนรอบข้าง ซึ่งหมายถึง องค์กร พนักงาน ผู้บริโภค สังคม ที่เต็มไปด้วยคุณภาพชีวิต และการใส่ใจสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ
โดยวางเป้าหมายธุรกิจ 5 ปี (2567-2571) บนความหลากหลาย ได้แก่
1.คือ มหาศาล ต้องมีรายได้ 5 ปีรวม 1.5แสนล้านบาท จากธุรกิจที่หลากหลาย
2.ความมั่นคง คือการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เหมาะสม หนี้ต้องต่ำ
และ 3. สมดุล คือส่วนผสมของกำไร รายได้กำไรสุทธิเติบโตอย่างสมดุลมีความหลากหลายของธุรกิจที่เข้ามาสนับสนุน เรื่องของกำไร
โดยปีนี้นายณัฐพงศ์ ยอมรับว่ามีสถานการณ์หนี้ที่สูงทุกฝ่ายต้องระมัดระวังตัวการกู้ระดมทุนมีความตึงตัวและมองเห็นถึงความเหลื่อมล้ำ “ปลาใหญ่กว่ากินปลาใหญ่” ทั้งนี้ ปลาที่ใหญ่เข้าถึงทรัพยากรเข้าถึงทุน ที่เร็วกว่า ในขณะที่บางรายซึ่งอาจเป็นอสังหาฯ รายกลางรายเล็กอาจพบเรื่องการขายช้าเพราะคนไม่มั่นใจเนื่องจากของแพงต้นทุนสูงการโอนกรรมสิทธิ์ ค่อนข้างยาก สถาบันการเงิน ปล่อยกู้น้อยหรือปฏิเสธสินเชื่อที่จะกระทบกับตลาดอสังหาฯในภาพรวม
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการลงทุนของผู้ประกอบการที่ประกาศแผนเปิดตัวอาจมีจำนวนที่ลดลง เนื่องจากต้องระมัดระวังกับปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งบริษัทด้วยที่เป็นปลาที่ใหญ่กว่า แต่เติบโตแบบธรรมาภิบาล
อย่างไรก็ตามในภาพรวมอสังหาฯ ปีนี้มองว่าตลาดผ่านจุดผ่านสุดมาแล้ว ต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยไทย มากขึ้น และตลาดมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง มาจากปี 2566 แต่สำหรับลูกค้าคนไทยฐานตลาดใหญ่ ยังได้รับผลกระทบมาจากดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในอัตราที่สูงซึ่งคาดว่า ประมาณปลายปีนี้น่าจะปรับลดลง แต่ทั้งนี้เพื่อให้ตลอดนี้เติบโต ต้องมีมาตรการมากระตุ้นกำลังซื้อ
โดยสนับสนุน 7องค์กรอสังหาฯที่เสนอรัฐบาลโดยเฉพาะสนับสนุนให้นำมาตรการ LTV (Loan to Value Ratio คืออัตราส่วนที่ธนาคารสามารถให้สินเชื่อได้ เมื่อเทียบกับราคาบ้านที่ซื้อ ) กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อกระตุ้นกำลังซืื้ออีกครั้งเหมือนปี2565 เพราะ1. ปัจจุบันภาวะเก็งกำไรในอสังหาฯได้หมดไปแล้ว 2. ดอกเบี้ยในปัจจุบันสูง และธนาคารก็ระวังตัวมาก โอกาสหนี้เสียลดลง 3. บ้านหลังที่ 2 และ 3 เป็น Real Demand ไม่ใช่เก็งกำไร
อย่างไรก็ตามเป้าหมาย และ แผนธุรกิจ ปี 2567 ตั้งเป้ายอดขายนิวไฮ 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 65% แนวสูง 35% และรายได้รวม 26,500 ล้านบาท จากธุรกิจหลากหลาย ทั้งธุรกิจอสังหาฯเพื่อขายแนวราบ-แนวสูง (engine 1) และธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (engine 2) มูลค่าการลงทุนทั้งหมด 25,000 ล้านบาท ในหลากหลายธุรกิจ ที่อยู่อาศัย คลังสินค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน
โดยมีจำนวนโครงการรวมทุกธุรกิจมากถึง 103 โครงการ ทั้งนี้ Engine 1 - ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายปี 2567 SC จะมีโครงการเพื่อขายทั้งสิ้น 86 โครงการ มูลค่ารวม 91,000 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการใหม่ แนวราบ 15 โครงการ มูลค่า 25,000 ล้านบาท โดยมีไฮไลท์แบรนด์ใหม่ชื่อ “Connoisseur” (คอนนาเซอร์) ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท และบ้านไลฟ์สไตล์เฉพาะ SCบ้าน Introvert และ SC บ้าน Extrovert ขณะโครงการใหม่ แนวสูง 2 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท ภายใต้ แบรนด์ Reference
“บริษัทเปิดตัว 17โครงการ มูลค่า3หมื่นล้านบาทแม้จะลดลง กว่าปีที่ผ่านมา ที่เปิดตัว20โครงการ แต่มูลค่ายอดขายสูงกว่า โดยเน้นบ้านแนวราบ15โครงการ กระจายในทุกทำเลทุกเซ็กเมนต์ 3-150ล้านบาท ขณะคอนโดมิเนียม พัฒนา2โครงการ ทำเลทองหล่อ-เอกมัยและทำเลย่านแคมปัส ใกล้มหาวิทยาลัย โดยระดับราคา ตั้งแต่กว่า2 ล้านบาทจนถึงกว่า500ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวประมาณกลางปีนี้และปลายปีตามลำดับ”
นอกจากนี้ SC พร้อมส่งมอบนวัตกรรม เช่น เทคโนโลยีติดตามดูแลความปลอดภัยด้วยระบบ Command Centre และ เทคโนโลยีอัจฉริยะ ผ่าน RueJai Intelligence และยกระดับประสบการณ์ด้วยกิจกรรมที่คัดสรรและออกแบบมาพิเศษผ่าน utility token Morning Coin Engine 2 - ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอรวมจำนวนทั้งสิ้น 17 โครงการ จาก 4 ธุรกิจ แบ่งเป็น อาคารสำนักงานให้เช่า มีพื้นที่เช่ารวม 120,000 ตร.ม. จากอาคารสำนักงานรวม 6 อาคาร โรงแรม มีจำนวนห้องพักรวม 545 keys จากโรงแรม 3 โครงการ เปิดแล้วที่ YANH ราชวัตร 78 keys เตรียมเปิดตัวปลายปีนี้ Kromo (ครอโม) ทำเลสุขุมวิท 29 บริหารโดย Curio Collection by Hilton 306 keys และเปิดต้นปีหน้า ทำเลพัทยา 161 keys คลังสินค้า
มีพื้นที่เช่ารวม 160,000 ตร.ม. จากคลังสินค้ารวม 4 โครงการ ดำเนินการแล้วที่ทำเลนครสววรค์ 16,000 ตร.ม. กำลังจะเปิดในปีนี้และปีหน้าอีก 144,000 ตร.ม. ใน 3 ทำเล บางนา กม.20 บางนา กม.22 และแหลมฉบัง และยังมีการร่วมลงทุนกับสตอเรจ เอเชีย บุกตลาด Self Storage ภายใต้แบรนด์ i-Store นอกจากนี้ยังมีอสังหาฯเพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา มีห้องพักรวม 78 ห้อง ใน 4 ทำเลใจกลางเมืองบอสตัน
ในส่วนของภารกิจ SCero Mission ดำเนินธุรกิจอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการออกแบบ สร้าง ใช้ ทิ้ง จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 25% ในปี 2573 ที่ผ่านมาองค์กรได้มีการติดตั้ง Solar Roof บริเวณอาคารสำนักงาน และโครงการบ้าน ติดตั้ง EV Charger ณ อาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม เปลี่ยนหลอดไฟ LED เปลี่ยนระบบทำความเย็น ในอาคารสำนักงาน
ช่วยลด GHG ได้กว่า 1,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2565-2566 และตั้งเป้าหมายว่าจะลดก๊าซเรือนกระจก 15% จากการดำเนินงานตามปกติ ในปี 2567
นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปอย่างมั่นใจว่า “SC พร้อมและมุ่งมั่นสำหรับการเติบโตในทศวรรษที่ 3 ตามวิสัยทัศน์ SC the Evolution เติบโตด้วยการปรับตัวตามบริบท เติบโตด้วยการสร้างคุณค่าสู่คนและโลก เติบโตด้วยธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม คลังสินค้า ออฟฟิศ”
หากย้อนไปช่วง20ปีที่ผ่านมา SC ผ่าน สถานการณ์รอบด้านมาอย่างมากมาย โดยเฉพาะล่าสุดการระบาดของโรคร้ายโควิด-19 แต่ ผ่านพ้นมาได้ และ10ปีแรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ของบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพยฯ เริ่ม พัฒนาอาคารสำนักงานและบ้านจัดสรร โดยรายได้ขณะนั้น 700ล้านบาทและสามารถมาจบลงที่ตัวเลข 15,000ล้านบาท เมื่อเข้ามาสู่ยุคที่สองหรือทศวรรษที่2 ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากพรีเมียม ขยายตลาดพัฒนาทุกระดับราคา