นางสาวบุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากกรณีเงินดิจิทัลเฟส 3 ที่ระบุจะแจกให้กับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 16-20 ปี มีข้อสังเกตว่าตามนโยบายเริ่มแรกได้จ่ายให้กับผู้สูงอายุก่อน และกลุ่มผู้สูงอายุใช้ระบบดิจิทัลไม่เป็นจึงต้องแจกจ่ายเป็นเงินสด แต่กลับกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากนัก มาคราวนี้ต้องการแจกเป็นเงินดิจิทัลจริงๆ จึงจับกลุ่มคนนรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเป็น ซึ่งมีคำถามตามมาหลายประเด็น และเงินก้อนนี้จะเกิดการใช้จ่าย หมุนเวียน หรือถูกนำไปลงทุนอะไร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
"แปลกใจกับโครงการแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาล ที่ยังถูกดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เฟส 1 เฟส 2 มาจนถึงเฟส 3 ทั้งที่ผลงานออกมาแล้วว่าเฟส 1-2 ไม่ประสบความสำเร็จ กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้เท่าที่ควร และในเฟสที่ 3 จ่ายให้วันรุ่นอายุ 16-20 ปี อยากถามว่าเป้าหมายของรัฐบาลคืออะไร เพราะอายุเท่านี้ยังอยู่ในวัยเรียน ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยเงินผู้ปกครอง ฉะนั้นเด็กกลุ่มนี้จะนำไปใช้จ่ายกับอะไร มีขีดความสามารถใช้เงินหรือลงทุนธุรกิจอะไร นอกจากซื้อสินค้าทั่วไป"
สิ่งที่อยากรู้คือวิธีคิดของรัฐบาลเป็นอย่างไร ทำไมกลุ่มเป้าหมายจากผู้สูงอายุมาเป็นกลุ่มวัยรุ่น ต้องอธิบายให้ประชาชนคนทั่วไปเข้าใจให้ชัดเจน เพราะตอนนี้ตั้งคำถามแล้วว่าคนวัยทำงานที่อายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไปจนถึง 59 ปี ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่ต้องเสียภาษีทำไมยังไม่ได้เงินก้อนนี้ และยังเป็นกลุ่มที่กำลังสร้างตัว ต้องการเงินลงทุน น่าจะต่อยอดกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีที่สุด
นางสาวบุญยืน กล่าวว่า กรณีนี้รัฐบาลต้องมีตัวชี้วัดว่าการแจกเงินในแต่ละรอบสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจกี่เปอร์เซ็นต์ และเมื่อไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รัฐบาลมีมาตรการอะไร รับผิดชอบแบบไหน เพราะเฟส 1-2 ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จเลย อยากให้รัฐบาลตระหนักให้ดี เพราะทุกบาทที่แจกจ่ายไปล้วนเป็นเงินภาษีของประชาชน ฉะนั้นการดำเนินงานโครงการต่อควรมีความชัดเจน เปิดเผยผลการประเมินที่จะเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม
"หากมองในมุมส่วนตัว การแจกเงินอย่างเดียวอาจมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากการซื้อเสียง หากต้องการแจกเงินเด็กวัยรุ่นในเฟส 3 โดยรัฐบาลมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง ทำไมรัฐบาลไม่กระตุ้นทางฝั่งผู้ปกครองโดยตรง เพราะถ้าเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้เก็บเงินไว้กับตัวไม่ยอมนำออกมาใช้จ่าย สุดท้ายก็ต้องพึ่งเงินผู้ปกครองอยู่ดี"
อย่างไรก็ตาม เงินในโครงการก้อนนี้ล้วนเป็นภาระของประชาชน เป็นภาระของผู้เสียภาษีที่จะต้องใช้หนี้ในอนาคต รัฐบาลหรือรัฐมนตรีต้องตระหนักถึงหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชน ถ้าการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เกิดขึ้นในเฟส 1-2 อาจจะต้องพิจารณาหยุดโครงการหรือชะลอไว้ก่อน ไม่ใช่เดินหน้าแจกอย่างเดียว