เพลง-ภาพยนตร์บูม GRAMMY กำไร 405 ล้านบาท โต100%

03 มี.ค. 2568 | 14:08 น.
อัปเดตล่าสุด :03 มี.ค. 2568 | 15:05 น.

GRAMMY เผยผลประกอบการ ปี 2657 รายได้ 6,165 ล้านบาท โต 3.9% กำไร 405.9 ล้านบาท โต 100.2% รับธุรกิจเพลงมาแรง ภาพยนตร์ "หลานม่า" ดันยอด

บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY ผู้ทำธุรกิจบันเทิงครบวงจรชั้นนำของ             ประเทศไทย เผยผลประกอบการปี 2567 โดยมีรายได้จากการดำเนินงานที่ 6,165.4 ล้านบาท เติบโตขึ้น 3.9% เมื่อเทียบกับปี 2566 แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการเติบโตทางธุรกิจและประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

นางสาวบุษบา ดาวเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานรวม อยู่ที่ 6,165 ล้านบาท เติบโตขึ้น 3.9% เทียบกับปี 2566 โดยมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ อยู่ที่ 405.9 ล้านบาท เติบโตขึ้น 100.2%

เพลง-ภาพยนตร์บูม GRAMMY กำไร 405 ล้านบาท โต100%

และมีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ รวมอยู่ที่ 195.6 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมในสินทรัพย์ทางการเงินอื่นจากการลงทุนในหุ้น บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) หรือ (“KISS”)  ทั้งนี้ผลการดำเนินงานรายธุรกิจในปี 2567 สามารถสรุปรายละเอียดแบ่งออกได้ ดังนี้

1.รายได้ธุรกิจเพลงปิดรายได้ที่ 4,063.4 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 133.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.4%YoY จากการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ นำโดยธุรกิจ Digital และธุรกิจโชว์บิซซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของการสร้างรายได้ที่มีเสถียรภาพและมีความมั่นคง

2.รายได้ธุรกิจภาพยนตร์ปิดรายได้ที่ 695.8 ล้านบาท เติบโต เพิ่มขึ้น 341.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 96.4%YoY จากภาพยนตร์เรื่องหลานม่า ที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีทั้งในและต่างประเทศ

เพลง-ภาพยนตร์บูม GRAMMY กำไร 405 ล้านบาท โต100%

3.รายได้ธุรกิจโฮมช้อปปิ้งปิดรายได้ที่ 1,166.3 ล้านบาท ลดลงราว 203.2 ล้านบาท หรือลดลง 14.8%YoY เนื่องจากยอดขายทางทั้งช่องทางดาวเทียมและทีวีดิจิตัลที่ลดลง

4.รายได้ธุรกิจจัดจำหน่ายกล่องรับสัญญาณทีวีปิดรายได้ที่ 127.5 ล้านบาท ลดลง 24.7 ล้านบาท หรือลดลง 16.2%YoY จากยอดขายกล่องทีวีดาวเทียมที่ลดลงซึ่งเป็นไปตามพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย

5.ส่วนแบ่งกำไรจาก The ONE Enterprise 140.3 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7.3 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 5.5% YoY

และนอกเหนือจากการเติบโตในธุรกิจปกติแล้ว ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้ขยายความร่วมมือทางธุรกิจ เพื่อต่อยอดธุรกิจเพลงให้เติบโต โดยบริษัทฯ ได้ขายจำหน่ายหุ้นสามัญของ GMM Music ให้แก่ นักลงทุนเชิงกลยุทธ์จำนวน 2 ราย ได้แก่ (1) Black Serenade Investment Limited (“Black Serenade”)(ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งร่วมกันระหว่าง Tencent Music Entertainment Group และ Tencent Holdings Limited)            

และ (2) Warner Music Hong Kong Limited (“WMHK”) (ซึ่งเป็นบริษัทที่มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ Warner Music Group Corp. (“WMGC”)) ในสัดส่วนร้อยละ 10.0 และร้อยละ 1.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ GMM Music ตามลำดับ

เพลง-ภาพยนตร์บูม GRAMMY กำไร 405 ล้านบาท โต100%

จากธุรกรรมดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯ สามารถปิดงบเฉพาะกิจการบริษัทฯด้วยกำไร 2,660.7 ล้านบาท หลังบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนใน GMM Music มูลค่า 2,815.4 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นการตอกย้ำธุรกิจเพลงที่ยังคงสามารถเติบโตได้ จากการให้มูลค่าของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก

รวมถึงโอกาสในการสร้างความเติบโตในอนาคต โดยในส่วนของเงินที่ได้จากการขายเงินลงทุนดังกล่าวราว 2,000 ล้านบาท บริษัทฯได้มีการนำไปชำระคืนหนี้พร้อมดอกเบี้ยที่มีกับธนาคารทั้งหมด  854.4 ล้านบาท และนำไปลงทุนเพิ่มในหุ้น ONEE มูลค่าราว 899.5 ล้านบาท โดยในส่วนที่เหลือได้นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนบริษัทฯ

เพลง-ภาพยนตร์บูม GRAMMY กำไร 405 ล้านบาท โต100%

จะเห็นได้ว่าผลประกอบการของบริษัทโดดเด่นรับกระแสการเติบโตของอุตสาหกรรมเพลง โดยจะเห็นได้จากที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี ในขณะที่ อุตสาหกรรมเพลงไทย เติบโตสูงกว่า ที่เฉลี่ย 26% ต่อปี โดยมีแรงผลักดันสำคัญจากดิจิตอลสตรีมมิ่ง ซึ่งในปัจจุบันตลาดสตรีมมิ่งและ  Music subscription ทั่วโลกสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในประเทศไทยนั้นตลาดยังมีศักยภาพเติบโตขึ้นอีกอย่างมหาศาล ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการเติบโตนี้ มาจากสินทรัพย์ทางดนตรี (Music IP : Music Intellectual Property) ซึ่งคือ ลิขสิทธิ์ในคอนเทนต์เพลง

ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญของการ สร้างรายได้จากการเผยแพร่ การนำไปใช้ การทำซ้ำ ดัดแปลง และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งบริษัทฯ มีความแข็งแรงด้านสินทรัพย์ทางดนตรีของไทยที่ใหญ่ที่สุด สั่งสมและมีการพัฒนาต่อยอดมาอย่างต่อเนื่อง และยาวนานกว่า 40 ปี ผนวกกับการมี Music Infrastructure ที่ครบวงจรที่สุดในไทย จึงเป็นจุดแข็งเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ทำให้มีรายได้เข้ามาแบบต่อเนื่อง (Recurring Income) อย่างยั่งยืน