“BLC” เผยผลประกอบการปี 67 รายได้ 1.5 พันล้าน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

25 ก.พ. 2568 | 14:23 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.พ. 2568 | 14:31 น.

บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด ปักธงปี 2568 กางแผนลงทุนเพิ่มขยายผลิตภัณ์สมุนไพร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง รับดีมานด์พุ่ง ไตรมาส 4/2567 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ภาพรวมปี 2567 กวาดรายได้ 1,557 ล้านบาท กำไรสุทธิ 176.1 ล้านบาท

ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC ผู้ผลิตและจำหน่ายยา สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพครบวงจร เปิดผเยว่า ผลการดำเนินงานของ BLC ไตรมาส 4 (ตุลาคม - ธันวาคม) ปี 2567 บริษัทฯ สามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่น โดยมีผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง รายได้จากการขายและให้บริการ 423 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 54.8 ล้านบาท เติบโต 7.0% และ 9.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) 

ปัจจัยขับเคลื่อนที่ธุรกิจที่สำคัญ คือ การจำหน่ายยาสามัญและยาสามัญใหม่ให้แก่โรงพยาบาลและร้านขายยา และการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทยาชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นอย่าง “บริษัท นิชิอิโคะ (ประเทศไทย) จำกัด” ในการกระจายยาเข้าสู่ร้านขายยาเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ Clena Ex ที่เริ่มทำตลาดผ่าน Influencer 

ส่งผลให้ผลการดำเนินงานปี 2567 มีรายได้รวม 1,557 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10.7% เมื่อเทียบ กับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 176.1 ล้านบาท เติบโต16.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)โดยมุ่งเน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการทำกำไรสูง และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 10.7% เป็น 11.3% ส่วน กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตโดดเด่นยังคงเป็นยาสามัญและยาสามัญใหม่ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรยังมีแนวโน้มเติบโตสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน

โดยการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานในปี 2567 ในอัตรา 0.09 บาทต่อหุ้น และจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล ในวันที่ 11เมษายน 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 30 เมษายน 2568

“BLC” เผยผลประกอบการปี 67 รายได้ 1.5 พันล้าน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ทั้งนี้ สำหรับเป้าหมายปี 2568 บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยปีละ 200 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นสร้างการเติบโตผ่านกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ ในปี 2568 ได้แก่ 

1) การทำการตลาดเชิงรุก ผ่านการสร้าง Brand Awareness ด้วยกลยุทธ์การใช้พรีเซนเตอร์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น และโฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์, TVC และสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร 

2) ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านออนไลน์ โดยเน้นเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์ม e-Commerce ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา อาทิ เครื่องสำอาง, ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 

3) พัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นขยายผลิตภัณฑ์สมุนไพรซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง รวมถึงการขยายสู่อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากเทรนด์ Pet Humanizationอาทิ อาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยง (แมวเลีย) รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสุขภาพอื่นๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ Deeday และเครื่องสำอาง เป็นต้น และ 

4) ขยายตลาดต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการเดินหน้าขยายตลาดในกลุ่มประเทศเดิมที่บริษัทฯ มีพันธมิตรทางธุรกิจ และมีความเข้าใจในความต้องการของกลุ่มลูกค้า ผ่านการเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและการขยายตลาดอย่างต่อเนื่องจะช่วยผลักดันให้บริษัทฯ เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้

ภก.สุวิทย์ กล่าวว่า เพื่อรองรับการเติบโตตามแผนการขยายธุรกิจในอนาคต BLC กำลังเดินหน้าก่อสร้างอาคารผลิตยาแห่งใหม่ตามแผนที่วางไว้ พร้อมกับการลงทุนในโซลาร์ฟาร์มแห่งที่ 2 เพื่อใช้พลังงานสะอาด ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากภายนอก และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร 

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตโดยการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อรองรับการเติบโตของผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อีกทั้งยังมีการพัฒนาระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิต เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“BLC ยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพี่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยา และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพครบวงจรของไทย ด้วยการขยายตลาดใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดต้นทุน เพื่อให้เราสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน”