วันนี้ (วันที่ 12 ธันวาคม 2567) แหล่งข่าวจากการบินไทย ระบุว่า วันนี้เจ้าหนี้การบินไทย บางกลุ่ม ที่ไม่รับคำร้องผลโหวตมติการประชุมเจ้าหนี้ของการบินไทย เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง เพื่อคัดค้านมติที่ประชุมเจ้าหนี้ ในวันดังกล่าว เพื่อขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการ ของการบินไทยฉบับที่ 3 โดยขอให้ศาลฯเพิกถอนมติดังกล่าว ซึ่งเจ้าหนี้ที่จะมายื่นคัดค้านหลักๆจะมี 2 กลุ่ม ได้แก่
1. เจ้าหนี้หุ้นกู้ กลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ อาทิ สหรณ์ออมทรัพย์สุราษฎร์ธานี ,สหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ,สหกรณ์ออมทรัพย์พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ,สหกรณ์ออมทรัพย์องค์การเภสัชกรรม
2.เจ้าหนี้กลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่แห่งหนึ่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ
โดยเจ้าหนี้สหกรณ์ฯที่ได้ยื่นคัดค้านไม่เห็นด้วย กรณีที่มติเจ้าหนี้โหวตผ่านผู้บริหารแผนฟื้นฟูจากภาครัฐ 2 ราย ได้แก่ นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบาย และแผนการขนส่ง และจราจร กระทรวงคมนาคม และนายพลจักร นิ่มวัฒนา รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง เนื่องจากมองว่าเป็นการแทรกแซงทางการเมือง เพื่อหวังผลการเสนอการแต่งตั้งบอร์ดการบินไทยที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นการกุมอำนาจการบริหารงานในการบินไทย
เนื่องจากการเสนอรายชื่อบอร์ดการบินไทย เพื่อให้ผู้ถือหุ้นการบินไทยพิจารณา จะเสนอชื่อโดยผู้บริหารแผนฟื้นฟู จำนวน 5 คน เป็นคนจากภาครัฐ 3 คน (รวมกระทรวงการคลังที่นั่งอยู่เดิม) จะทำให้การเมืองเข้ามาอำนาจ ในการบริหาร ทำให้การบินไทยกลับไปสู่วังวนเดิม และราคาหุ้นที่เจ้าหนี้หุ้นกู้แปลงหนี้เป็นทุนไปแล้วก็จะสูญเสียรายได้ แม้จะไม่ทำให้การบินไทยกลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจเหมือนในอดีตก็ตาม และมองว่ากระทรวงการคลังได้แปลงหนี้เป็นทุนไปแล้ว สถานะเปลี่ยนจากเจ้าหนี้เป็นผู้ถือหุ้น จึงไม่ควรมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
ขณะที่เจ้าหนี้กลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่แห่งหนึ่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ จะคัดค้านกรณีลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) เพื่อล้างผลขาดทุนสะสมหลักทรัพย์ที่มีประมาณ 60,000 ล้านบาท และการเสนอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ก่อนกำหนด เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่าจำนวนเงินปันผลที่จะมีการเสนอจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นในครั้งนั้นๆ
นอกจากนี้ยังพบว่า การนับสิทธิออกเสียงของเจ้าหนี้กลุ่มอื่นๆ ก็ไม่ถูกต้องตามจำนวนหนี้คงเหลือ เนื่องจากเจ้าหนี้กลุ่มดังกล่าวได้รับการชำระหนี้จากการแปลงหนี้เป็นทุนไปแล้วเช่นกัน จึงขอให้ศาลพิจารณาเพิกถอนมติที่ประชุมเจ้าหนี้ และสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการนับสิทธิออกเสียงใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
สำหรับการประชุมเจ้าหนี้เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา มีเจ้าหนี้เข้าร่วมประชุมรวมมูลหนี้ราว 1.1 แสนล้านบาท โดยเจ้าหนี้โหวตผ่านทั้ง 3 วาระ ได้แก่
1.วาระขอลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) เพื่อล้างผลขาดทุนสะสมหลักทรัพย์ที่มีประมาณ 60,000 ล้านบาท โดยวาระนี้เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ทราบว่าขั้นตอนดังกล่าวเป็นกระบวนการทางบัญชี เพื่อประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างทุน จะทำให้ส่วนทุนเป็นบวก และไม่ได้กระทบต่อการชำระหนี้
2.วาระขอพิจารณาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟู โดยการบินไทยจะเสนอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ก่อนกำหนด เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่าจำนวนเงินปันผลที่จะมีการเสนอจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นในครั้งนั้นๆ
3.วาระขอพิจารณาเพิ่มผู้บริหารแผนฟื้นฟู 2 คน ประกอบด้วย นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบาย และแผนการขนส่ง และจราจร กระทรวงคมนาคม และนายพลจักร นิ่มวัฒนา รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง
สำหรับวาระที่ 3 ซึ่งมีการขอเพิ่ม 2 ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการจากหน่วยงานภาครัฐ เจ้าหนี้โหวตผ่าน โดยโหวตผ่านอยู่ที่ 50.4 % ส่วนฝั่งไม่เห็นด้วยอยู่ที่ 49.6 % ห่างกัน 0.8%
แหล่งข่าวจากที่ประชุมเจ้าหนี้การบินไทย เผยว่าในการประชุมวันนั้น มีเจ้าหนี้บางกลุ่มคัดค้านการลงมติของกระทรวงการคลัง เนื่องจากก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังแปลงหนี้เป็นทุนครบ 100% ซึ่งส่งผลให้กระทรวงการคลังไม่อาจมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ และกลับมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้น
แต่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์พิจารณาแล้วเห็นว่า กระบวนการแปลงหนี้ดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากยังไม่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนชำระแล้วของบริษัท ส่งผลให้กระทรวงการคลังยังคงสิทธิเป็นเจ้าหนี้การบินไทยจึงสามารถโหวตได้