รัฐบาลวางกรอบอัดฉีดเงิน 1.1 หมื่นล้าน ลงกองทุนหมู่บ้านฯ ต้นปี 68

02 ธ.ค. 2567 | 13:43 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ธ.ค. 2567 | 13:47 น.

รัฐบาล ไฟเขียวกรอบแนวทางบริหารโครงการอัดฉีดเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท ลงไปยังกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง คาดเริ่มต้นในช่วงต้นปี 2568

นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมการดำเนินงานโครงการสนับสนุนเสริมสร้างศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง ที่มีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้หารือถึงแนวทางการอัดฉีดเงินลงไปสู่หมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศ วงเงินกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท

“ที่ประชุมมีการขับเคลื่อนผ่านคณะอนุกรรมการ เพื่อจะได้กำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการที่จะลงไปยังกองทุนหมู่บ้านฯ ซึ่งที่ผ่านมาได้มอบนโยบายไปแล้วว่า ในช่วงต้นปี 2568 รัฐบาลจะอัดฉีดเงินลงไปให้หมู่บ้านและชุมชนต่าง ๆ วงเงินประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท” นางสาวจิราพร ระบุ

สำหรับมติที่ประชุมได้กำหนดกำหนดกรอบแนวทางในการบริหารโครงการสนับสนับเสริมสร้างศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง วงเงินงบประมาณ 11,392.2 ล้านบาท เพื่อนำไปจัดสรรให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเป้าหมาย ให้เกิดการสร้างประโยชน์ให้หมู่บ้านและชมชน แก้ไขปัญหาความต้องการและเอื้อต่อต่อการมีอาชีพ สร้างงาน เพิ่มรายได้ และการพัฒนาในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตามในกรอบแนวทางในการบริหารโครงการสนับสนับเสริมสร้างศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง วงเงินงบประมาณ 11,392.2 ล้านบาท ครั้งนี้ ในขั้นตอนต่อไป คณะอนุกรรมการฯจะจัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ชุดใหญ่ต่อไป

ปัจจุบันสถานะของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง มีอยู่กว่า 79,610 แห่งทั่วประเทศ และสมาชิกกว่า 13 ล้านคน ถือเป็นกำลังหลักในการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก โดยนโยบายของรัฐบาลได้เน้นให้กองทุนเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับสร้างอาชีพ สร้างงาน และรายได้ในชุมชน 

นอกจากนี้ยังส่งเสริมการออม และจัดระบบสวัสดิการเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันทางสังคม พร้อมสนับสนุนงบประมาณหมู่บ้านละ 1 ล้านบาทในระยะแรก และเพิ่มทุนในระยะต่อไปโครงการนี้มุ่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนด้วยทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น ผ่านการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยใช้แนวคิด “ศาสตร์พระราชา” เพื่อสร้างความยั่งยืนต่อเนื่องกว่า 23 ปี