ชำแหละปมปัญหา "ที่ดินรัฐ" ต้องบริหารจัดการใหม่พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย

21 พ.ย. 2567 | 13:30 น.
อัปเดตล่าสุด :21 พ.ย. 2567 | 13:31 น.

ชำแหละปมปัญหา "ที่ดินรัฐ" ต้องบริหารจัดการใหม่พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ชี้มีปัญหาการทับซ้อน ข้อมูลของแต่ละหน่วยงานไม่ตรงกัน ระบุงานยากของรัฐบาลคือการลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ที่ดิน

นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ ที่ดินของรัฐ กับข้อจำกัดและโอกาสการพัฒนาในมุมของกฎหมาย ว่า  ประเทศไทยมีที่ดินรวม 320 ล้านไร่ แต่หากรวมทุกโฉนดพบว่ามีที่ดินเกิน 320 ล้านไร่ เพราะมีปัญหาการทับซ้อน  ข้อมูลของแต่ละหน่วยงานไม่ตรงกัน โดยงานยากของรัฐบาลคือการลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ที่ดิน  เช่น นำที่ดินจากกองทัพซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจโอนให้กรมธนารักษ์ แล้วกรมธนารักษ์ให้คนยากจนเช่าทำกินในราคาถูก

ทั้งนี้ การพัฒนาที่ดินของรัฐต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์ต้องรักษาป่าไม้ต้องอนุรักษ์ต้องดูแลรักษาไว้ การพัฒนาไม่ใช่โค่นป่า ต้องมีการจัดการที่ดี การเพิ่มประสิทธิภาพของที่ดิน เกษตรกรขาดทักษะ ใช้ที่ดินไม่คุ้มค่า ชาวนาใช้ปุ๋ยหนัก แต่ผลผลิตไม่เพิ่ม โดยที่ดินของรัฐหลายเรื่องทำยาก ช้าเกือบทุกเรื่อง ต้องปรับปรุงกฎหมายที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน 

"ประเทศไทยเจ้าระเบียบ เขียนระเบียบเขียนกติกามากจนทำอะไรไม่ได้ เหมือนทำรั้วเพราะกลัวขโมยจนออกจากบ้านตัวเองไม่ได้ กลัวทุกเรื่องทุกอย่างจนกลายเป็นปัญหา  โลกเปลี่ยนไปเร็วแต่ประเทศไทยเปลี่ยนกฎหมายช้า รัฐบาลชุดก่อนต้องการทวงคืนผืนป่า เป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกทุกเรื่อง ใช้กฎหมายคสช.ไปรื้อถอน วันนี้คดีแห้งไปแล้วกว่า 3 หมื่นคดี ได้ที่ดินคืนแล้วไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ กฎหมายเกี่ยวกับที่ดินมีเยอะมาก หากจะแก้ต้องไปในทิศทางเดียวกัน"
 

ที่ดินส.ป.ก.ซึ่งกฎหมายให้ทำการเกษตรอย่างเดียวแต่โลกวันนี้เกษตรอย่างเดียวไม่เพียงพอ รัฐได้ผลตอบแทนเป็นภาษีก็น้อย สามารถปรับโครงสร้างส.ป.ก.ได้ ไม่ได้หมายความว่าจะยกที่ส.ป.ก.ให้เป็นของเอกชน แต่หมายความว่าถ้าไม่เหมาะกับการเกษตรก็อาจจะเป็นอุตสาหกรรมหรือเพื่อการท่องเที่ยวได้ โดยผู้ที่มาร้องทุกข์ที่ทำเนียบรัฐบาล อันดับแรกคือเรื่องที่ดินทำกิน ซึ่งหมายความว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ถ้าจะแก้ได้ต้องบูรณาการจริงๆทุกหน่วยงาน

ชำแหละปมปัญหา "ที่ดินรัฐ" ต้องบริหารจัดการใหม่พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย

ผศ.ดร.กิติชัย รัตนะ อาจารย์ประจำภาควิชาอนุรักษ์วิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ที่ดินของรัฐมองใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.การคุ้มครองไว้เพื่อเป็นที่ดินของรัฐ เช่น ที่ป่าไม้  ที่ราชพัสดุ

,2.ที่ดินเพื่อการใช้ประโยชน์ เพื่อการเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม และ3.พื้นที่ทับซ้อน ชุมชนอยู่ในเขตพื้นที่รัฐ ใช้หลักรัฐศาสตร์คู่กับนิติศาสตร์ มีความยืดหยุ่นไม่เหมือนกัน หรือมีความคลุมเครือเรื่องแนวเขต ต้องใช้ One Map เพื่อทำรายละเอียดให้เด่นชัดซึ่งอาจจะมีข้อพิพาทตามมาอีกมาก ปัจจุบันมีความไม่ชัดเจนว่าที่ดินส.ป.ก. ทำประโยชน์เพื่อเกษตรได้ดีจริงหรือ เพราะพบว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินส่งผลต่อผลิตภาพต่ำมาก เกษตรกรไทยติดกับเรื่องต้นทุนการผลิตและหนี้สิน การเพิ่มมูลค่าใหม่ในที่ดินมีความจำเป็นรัฐบาลกลางต้องจัดสรรแบ่งปันบริหารการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยแนวคิดแบบพลิกโฉมโดยอยู่บนความสมดุลและความเป็นธรรม
 

หากจะบริหารจัดการใหม่ ต้องออกกฎหมายใหม่ให้ทันสมัย ยกเลิกกฎหมายเก่าที่ไม่จำเป็น ปรับกระบวนการการทำงาน ค้นหาพื้นที่ปฏิบัติการที่เป็นเลิศเพื่อนำร่องการปฏิบัติการ เสนอการนำหนึ่งพื้นที่หลายระบบเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าและคุณค่า มีระบบข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลที่ดิน การจัดการที่ดินในรูปแบบใหม่ ไม่ทำไม่ได้แล้วเพราะมีเงื่อนไขที่มากระทบต่อการใช้ประโยชน์ที่ดินของไทยค่อนข้างมาก เช่น ภัยพิบัติจากความเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลก เรื่องเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งมีผลต่อการวางรากฐานของประเทศ

นายชวลิต ชูขจร อดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การจะใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต้องรู้ปัญหา ที่ดินของรัฐมี 8 กระทรวง 19 กรม 3 รัฐวิสาหกิจ และกฎหมายอีก 16 ฉบับใช้บังคับอยู่ แต่ละฝ่ายต่างถือกฎหมายคนละฉบับในการทำหน้าที่ของตน เมื่อมีนโยบาย กฎหมาย และภาษีเข้ามากำกับทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยไม่คำนึงถึงความคุ้มค่าหรือผลผลิต

ชำแหละปมปัญหา "ที่ดินรัฐ" ต้องบริหารจัดการใหม่พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย

ที่ดินส.ป.ก.40 ล้านไร่เคยมีนโยบายต้องรักษาไว้เพื่อความมั่นคงของประเทศ ใช้กฎหมายส.ป.ก.ที่ห้ามจำหน่ายจ่ายโอน และเกษตรกรคือผู้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการประกอบอาชีพเกษตร เกษตรกรจึงไปทำอย่างอื่นไม่ได้และต้องจนอยู่ชั่วชีวิต แต่ความจริงที่ดินรัฐมีการบุกรุกตลอดมา รัฐจัดการแบบมีปัญหาดินพอกหางหมู 

"ต้องยอมรับว่าปัญหามีอยู่จริง ปัญหาใหญ่คือความไม่เป็นเอกภาพของหน่วยงานราชการ มีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียว แต่สิ่งที่หน่วยงานต่างๆกำลังทำอยู่ไม่เชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาอะไรได้"  

นายสุริยน พัชรครุกานนท์ รองผู้อำนวยการ สคทช. กล่าวว่า สคทช.เพิ่งตั้งเมื่อปี 2564 ปัจจุบันเพิ่ง 3 ปี เป็นหน่วยงานเชิงนโยบายที่พยายามแก้ปัญหาที่ดินให้ทุกด้านแต่อาจจะช้าเล็กน้อย เพราะการมีส่วนร่วมในการทำงานของหน่วยงานต่างๆยังไม่เป็นเอกภาพ หน้าที่ของ สคทช.คือบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินให้เป็นเอกภาพ  เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตอนนี้มี CEO One Map เร่งรัดดำเนินการให้จบเพราะมีปัญหาที่ดินทับซ้อนที่ต้องเร่งแก้ไข One Map จะเสร็จในปี 68 จะเปิดโอกาสให้ประชาชนโต้แย้งสิทธิ์หรือพิสูจน์สิทธิ์

การลดลงของพื้นที่ป่าน่ากลัวมากการบุกรุกยังมีต่อเนื่อง เพราะมาตรการของรัฐบางช่วงแข็งแรง บางช่วงหย่อนยาน ที่ดินส่วนใหญ่อยู่ในมือคนส่วนน้อย ที่ดินใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ ที่ดินมีศักยภาพมากกว่าทำการเกษตร

ผศ.ดร.ศุภฤกษ์ สุขสมาน รองคณบดีฝ่ายบริหารยุทธศาสตร์และพัฒนากายภาพ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การบริหารจัดการที่ดินของรัฐที่ผ่านมามุ่งเน้นไปที่กลุ่มเกษตรกรผู้ยากไร้ ไม่มีที่ทำกิน แต่ปัจจุบันหากมองในด้านผลตอบแทนจากที่ดินคงต้องกลับมาคิดกันใหม่ เช่น ความสมบูรณ์ของดิน แหล่งน้ำในเขตชลประทาน โครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้เกษตรกรยังต้องแบกรับความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งผลผลิต โรค ตลาด ราคาผลผลิต เกษตรกรเป็นกลุ่มที่มีหนี้สินมาก

ข้อเท็จจริงคือเกษตรกรมีรายได้นอกภาคเกษตรสูงกว่ารายได้จากผลผลิตทางการเกษตร เช่น อาจมีอาชีพประกอบ ลูกหลานส่งเงินให้ใช้ GDP ภาคเกษตรลดต่ำลง เกษตรกรมีทุนน้อยลง ประสิทธิภาพภาคการเกษตรของไทยแทบไม่มีเลย เกษตรกรยุคใหม่อาจใช้พื้นที่เพาะปลูกน้อยลงแต่ได้ผลตอบแทนมากขึ้น

รัฐบาลต้องเปลี่ยนแนวคิด ที่ดินที่จะอนุรักษ์ได้ดีที่สุดคือที่ดินของเอกชน ทำไมไม่ให้ TAX CREDIT หรือ CARBON CREDIT แก่เอกชน ส่งเสริมให้ไม่นำที่ดินมาพัฒนาในด้านการเกษตร แต่ใช้ในเชิงอนุรักษ์ ที่ดินใช้ประโยชน์อื่นๆได้ไหมหากมองประโยชน์สูงสุด นอกจากการเกษตร เช่นท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์ พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม 

นายพรสิทธิ์ ด่านวนิช รองนายกสมาคมสินแร่และวัสดุก่อสร้าง กล่าวว่า เป็นตัวแทนของภาคเอกชนที่ประสบปัญหาการใช้ที่ดินของรัฐโดยเฉพาะเรื่องที่ดินส.ป.ก.กับการทำเหมืองแร่ ที่ดินส.ป.ก. ทั้งหมด 40 ล้านไร่ สำรวจแล้วมีแร่อยู่ในบริเวณแค่ 4 ล้านไร่ และเอกชนยื่นขอใช้พื้นที่เพียง 3 แสนไร่ จะเกิดประโยชน์ในแง่ค่าภาคหลวง  ค่าตอบแทนพิเศษสำหรับส.ป.ก. รายได้ส่วนใหญ่ 60% จะตกแก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อมีการทำเหมืองจะเกิดการจ้างงานชาวบ้านในพื้นที่ จะมีกองทุนให้กับชุมชนใกล้เคียง  หลังการทำเหมืองจะมีแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่สำหรับเกษตรกร