"โดนัลด์ ทรัมป์" จากพรรครีพับลิกัน จะได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 และจะเข้าพิธีรับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2568
ทั้งนี้ นโยบายที่โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศไว้ในแคมเปญหาเสียง ครอบคลุมหลายนโยบายที่มุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ การควบคุมการอพยพเข้าประเทศ และส่งเสริมพลังงานในประเทศ รวมถึงนโยบายที่มีต่อประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะจีน โดยนโยบายดังกล่าวถือว่าส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
จากการตรวจสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" เกี่ยวกับกับผลกระทบต่อประเทศไทย รวมทั้งการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) หลายด้านในเชิงบวกและลบ กับนายนายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการการ กนอ. รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. พบว่า
ปัจจัยบวก
- การย้ายฐานการผลิต นโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์ โดยเฉพาะการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน อาจทำให้บริษัทต่างชาติพิจารณาย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังประเทศอื่น รวมถึงไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งอาจเพิ่มการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. เป็นโอกาสในการดึงดูดการลงทุน
วิเคราะห์ปัจจัยบวก-ลบ ผลกระทบนโยบาย "โดนัลด์ ทรัมป์" ในมุมมอง "กนอ."
- โอกาสการส่งออก หากสหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ไทยอาจได้รับโอกาสในการส่งออกสินค้าทดแทนไปยังสหรัฐฯ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ โซลาร์เซลล์ ถุงมือยาง น้ำผลไม้ อุปกรณ์โทรทัศน์ PCA และของเล่น อย่างไรก็ตาม ในอนาคต สินค้าส่งออกของไทยอาจมีความเสี่ยงจากมาตรการปรับเพิ่มภาษีศุลกากรขาเข้าของทรัมป์เช่นกัน เนื่องจากไทยมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง (มากกว่า 4 พันล้านเหรียญ)
- การถูกกดดันจากสหรัฐฯ อาจทำให้จีนหันมาพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ไทยอาจได้รับโอกาสในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับจีนในด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน และโครงการพัฒนาระดับภูมิภาค