ส่องโมเดล 4 ประเทศ “คมนาคม” จ่อเก็บค่าธรรมเนียมรถติดเข้าเมือง

12 พ.ย. 2567 | 08:30 น.

“คมนาคม” ชูโมเดล 4 ประเทศ ดันมาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด หวังแก้ปัญหาการจราจรติดขัดเป็นรูปธรรม ฟาก สนข. จับมือ GIZ หนุนระบบฟีดเดอร์-ขนส่งหลัก รับนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย คาดได้ข้อสรุปภายในปี 68

นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคมในฐานะโฆษกกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ไปดำเนินการศึกษาแนวทางการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) นั้น

ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดอย่างรอบคอบ ทั้งข้อดีของการดำเนินการ, พื้นที่ที่จะดำเนินการ, อัตราค่าธรรมเนียม, รูปแบบการชำระค่าธรรมเนียม, รูปแบบการดำเนินการในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ และนำมาเปรียบเทียบความน่าจะเป็นกับความเหมาะสมในประเทศไทย รวมถึงระบบทางเศรษฐกิจทุกภาคส่วน สังคม สิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียม และระบบการขนส่งสาธารณะ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และประเทศชาติเป็นหลัก

ทั้งนี้จากการรายงานของ สนข. ถึงผลการศึกษาเบื้องต้น ระบุว่า ก่อนหน้านี้ ช่วงปี 2562-2565 สนข. ได้ความร่วมมือจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) ในการดำเนินการศึกษาและพิจารณารายละเอียดของการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด

ปัจจุบันสนข.ได้ทบทวนผลการศึกษา เพื่อสนับสนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เบื้องต้นได้ศึกษาถึงมาตรการที่เหมาะสมกับบริบทของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในพื้นที่ที่มีการพัฒนาระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้า และรถขนส่งสาธารณะอย่างครอบคลุม และมีความสะดวกในการใช้งานแล้ว เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น

นายกฤชนนท์ กล่าวต่อว่า ในปี 2567 สนข. อยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนในการศึกษา Congestion Charge โครงการของ UK PACT โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดนโยบายเพื่อใช้กำหนดรูปแบบ และวิธีการ ตลอดจนค่าธรรมเนียม ในการนำรถยนต์ส่วนบุคคลเข้ามาในเขตพื้นที่ที่มีการติดขัดของการจราจรสูง (Congestion Charge)

ทั้งนี้จะต้องศึกษามาตรการที่เหมาะสมกับบริบทของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในพื้นที่ที่มีการพัฒนาระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้า และรถขนส่งสาธารณะอย่างครอบคลุม และมีความสะดวกในการใช้งานแล้ว โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการการศึกษาคาดเห็นความชัดเจนในปี 2568

นอกจากนี้จะมีการจัดเตรียมระบบขนส่งสาธารณะให้มีความพร้อมรองรับการเดินทางอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะระบบขนส่งสาธารณะรอง (ฟีดเดอร์) เพื่อขนส่งผู้โดยสารมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะหลัก อย่างระบบรถไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการจราจร สามารถกำหนดระยะเวลาในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังลดมลพิษจากทางอากาศ

“การจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดนั้น จะนำเงินที่ได้รับดังกล่าว มาสนับสนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ถือเป็นการลดค่าครองชีพให้กับประชาชน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งยังมีส่วนช่วยแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ได้อีกด้วย” นายกฤชนนท์ กล่าว

นายกฤชนนท์ กล่าวต่อว่า ในการศึกษาของ สนข. นั้น ยังได้นำรูปแบบการดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดใน 4 ประเทศที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้กับประเทศไทยให้มีความเหมาะสม ดังนี้

1.ลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยมีการใช้ระบบกล้องตรวจจับการรับรู้ป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ (ANPR) เพื่อจัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ ในพื้นที่ศูนย์กลางของเมือง รัศมีขนาด 21 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) จัดเก็บในช่วงวันจันทร์–ศุกร์ เวลา 07.00-18.00 น. และวันเสาร์–อาทิตย์ เวลา 12.00 -18.00 น. แต่ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยจัดเก็บในราคา 15 ปอนด์ต่อวัน (ประมาณ 658 บาท)

 ส่วนวิธีการชำระเงินนั้น สามารถชำระได้ในช่องทางแอปพลิเคชัน และออนไลน์ ซึ่งผลลัพธ์จากการศึกษามาตรการเก็บค่าธรรมเนียมใช้ถนนที่ลอนดอน พบว่า การจราจรติดขัดลดลง 16% และมีปริมาณผู้โดยสารขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น 18%

2.ประเทศสิงคโปร์ จัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ ในพื้นที่ศูนย์กลางของเมือง, ทางด่วน และพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น ในวันจันทร์-เสาร์ ช่วงเวลา 06.00-22.00 น. ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในราคา 1 - 6 ดอลลาร์สิงคโปร์ (26–158 บาท) ขึ้นอยู่กับประเภทรถ, ช่วงเวลา และพื้นที่ สามารถชำระเงินได้ที่ชุดควบคุมภายในรถ (IU) โดยเชื่อมต่อกับเครื่องชำระเงินผ่านบัตรแทนเงินสด หรือบัตรเดบิต/เครดิต 

ด้านระบบการทำงานนั้น จะใช้เทคโนโลยีวิทยุระบุความถี่ (RFID) เพื่อทำการเก็บค่าธรรมเนียมความแออัดโดยอัตโนมัติจากยานพาหนะที่ติดตั้ง IU ที่ผ่านไปใต้ประตู ERP โดยผลลัพธ์การจัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ พบว่า การจราจรติดขัดลดลง 15%

3.สต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน จัดเก็บในพื้นที่ศูนย์กลางของเมืองทางหลวงพิเศษเอสซิงเกเลเดน (Essingeleden Motorway) ในวันจันทร์–เสาร์ เวลา 06.30-18.29 น. ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในราคา 11 - 45 โครนาสวีเดน (35.53 –145.35บาท) ขึ้นอยู่กับประเภทรถ, ช่วงเวลา และพื้นที่ 

ขณะเดียวกันกล้องตรวจจับการรับรู้ป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ จะตรวจจับค่าผ่านทางบนถนน โดยจะบันทึกยานพาหนะทั้งหมด และมีการส่งใบแจ้งหนี้ ไปยังเจ้าของยานพาหนะในช่วงสิ้นเดือน ทั้งนี้ ผลลัพธ์การจัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ พบว่า จราจรติดขัดลดลง 20% มีการใช้ขนส่งสาธารณะเพิ่ม 5% ขณะที่ โกเธนเบิร์ก ประเทศสวีเดน ก็ได้มีการจัดเก็บในพื้นที่ใจกลางเมืองโกเธนเบิร์กทั้งหมด 

ขณะที่ถนนสายหลัก E6 ในวันจันทร์–เสาร์ เวลา 06.30-18.29 น. ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในราคา 9–22 โครนาสวีเดน (29.07 –71.06 บาท) ขึ้นอยู่กับประเภทรถ, ช่วงเวลา และพื้นที่

ทั้งนี้รูปแบบการชำระเงิน และการดำเนินการ จะเป็นเช่นเดียวกันกับสต็อกโฮล์ม โดยการดำเนินการในโกเธนเบิร์กนั้น พบว่า จราจรติดขัดลดลง 10% และใช้ขนส่งสาธารณะเพิ่ม 6%

4.มิลาน ประเทศอิตาลี ได้ติดตั้งกล้องตรวจจับการรับรู้ป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ เพื่อจัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ ในพื้นที่ใจกลางเมืองมิลาน บริเวณเซอร์เคีย เดย บาสติโอนี่ (Cerchia dei Bastioni) แบ่งเป็น วันจันทร์, อังคาร, พุธ และศุกร์ เวลา 7.30-19.30 น.

ส่วนวันพฤหัสบดี เวลา 7.30-18.30 น. (ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) จัดเก็บในราคา 2-5 ยูโรต่อวัน (76.42 -191.05 บาท) ขึ้นอยู่กับประเภทรถ 

ทั้งนี้สามารถชำระเงินได้ผ่านตู้ชำระเงินบริเวณที่จอดรถ, เครื่องเอทีเอ็ม, แอปพลิเคชัน และระบบออนไลน์ โดยการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว พบว่า การจราจรติดขัดลดลง 34% 

อย่างไรก็ดีจะเห็นได้ว่า ประเทศที่ดำเนินการจะเก็บค่าธรรมเนียมรถติด พบว่า มีปริมาณผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าก่อนเริ่มใช้มาตรการนั้น ประชาชนจะตั้งข้อสังเกตุในหลายกรณี แต่เมื่อหลังเริ่มใช้แล้วพบว่าประชาชนให้การสนับสนุนและให้การยอมรับ

นายกฤชนนท์ กล่าวต่อว่า ในผลการศึกษาฯ ยังระบุอีกว่า ก่อนที่จะเริ่มใช้มาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดของทั้ง 4 ประเทศดังที่กล่าวข้างต้นนั้น มีประชาชนไม่เห็นด้วยจำนวนหนึ่ง แต่ภายหลังจากเริ่มแล้วกลับมาให้การยอมรับและเห็นด้วยอย่างมาก เช่น สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ก่อนเริ่มมาตรการฯ 

ทั้งนี้พบว่าประชาชนในพื้นที่ ให้การยอมรับ 21% และภายหลังเริ่มมาตรการให้การยอมรับเพิ่มเป็น 67% ขณะที่ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อนเริ่มมาตรการฯ ประชาชนในพื้นที่ ให้การยอมรับ 39% และภายหลังเริ่มมาตรการให้การยอมรับเพิ่มเป็น 54%

อย่างไรก็ตามกระทรวงคมนาคม จะดำเนินการอย่างละเอียด รอบคอบ เป็นธรรม และพร้อมรับฟังทุกเสียงของประชาชนอย่างเท่าเทียมแน่นอน