นโยบายที่หลายคนลุ้น คือ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกสี ของรัฐบาล อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะทำได้จริงหรือไม่ หลัง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกาศเดินหน้าแน่นอนทุกเส้นทาง ภายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อให้ประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และลดปัญหา PM 2.5
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ กระทรวงการคลังของไทยได้เริ่มต้นศึกษาแนวคิดการจัดเก็บ ค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) ในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่หนักหน่วง โดยแนวคิดนี้ได้แรงบันดาลใจจากประเทศพัฒนาแล้วที่มีการดำเนินการและประสบความสำเร็จ อาทิ อังกฤษ
จากการศึกษาเบื้องต้น พบว่าถนนในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่จะถูกพิจารณาในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนั้นจะต้องมีเส้นทางรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกสำหรับการเดินทาง เช่น ถนนสุขุมวิท ถนนสีลม ถนนรัชดาภิเษก เป็นต้น
การนำระบบนี้มาใช้ในกรุงเทพฯ อาจต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงการยอมรับจากประชาชน ซึ่งการสร้างความเข้าใจและให้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินโครงการนี้ให้ประสบความสำเร็จ
หากพิจารณาหลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มนำมาตรการจัดเก็บภาษีรถยนต์ที่เข้าไปในเขตเมืองมาใช้ เพื่อควบคุมปริมาณรถยนต์และส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งแนวทางนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาจราจรติดขัด แต่ยังมีผลดีต่อสิ่งแวดล้อมด้วยหลายเมืองใหญ่ทั่วโลกนำมาตรการ ค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) มาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนหันมาใช้บริการรถเมล์ รถไฟฟ้า และจักรยานมากขึ้น
สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นตั้งแต่ปี 1975 สิงคโปร์ใช้ระบบ Electronic Road Pricing (ERP) ที่มีการคิดค่าธรรมเนียมรถยนต์ที่เข้ามาในพื้นที่สำคัญ ระบบนี้ช่วยควบคุมจำนวนรถยนต์บนถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้นด้วย .
เป็นการเก็บค่าผ่านทางตามช่วงเวลาการจราจรและสถานที่ โดยค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 0.50 - 6 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 12 - 150 บาท) ต่อครั้ง
ในช่วงเวลาการจราจรหนาแน่น ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น โดยเวลาพีคคือ 07.00 -09.00 น. และ 17.30-18.30 น. ระบบนี้มีการปรับเปลี่ยนค่าธรรมเนียมเป็นประจำตามสภาพการจราจรในแต่ละช่วงเวลา
ทำให้สิงคโปร์มีอัตราการติดขัดลดลงมากถึง 45% ในแบบชั่วข้ามคืนกันเลยทีเดียว ทั้งยังลดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ถึง 25% ด้วย
ลอนดอน เริ่มใช้ระบบ Congestion Charge ตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จในการลดปัญหาจราจรและมลพิษทางอากาศ โดยในพื้นที่ที่กำหนด รถยนต์ส่วนตัวที่เข้าไปจะต้องชำระค่าธรรมเนียมในช่วงเวลาที่มีการจราจรหนาแน่น นับตั้งแต่เริ่มโครงการ จำนวนรถที่เข้ามาในเมืองลดลงไปถึง 30%
โดยค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 15 ปอนด์ต่อวัน (ประมาณ 660 บาท) สำหรับรถยนต์ที่เข้ามาในใจกลางเมืองระหว่าง 07.00-22.00 น. นอกจากนี้ยังมีการจัดเก็บภาษี ULEZ (Ultra Low Emission Zone) เพิ่มเติม 12.50 ปอนด์ (ประมาณ 550 บาท) สำหรับรถที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
มิลาน เริ่มใช้ระบบเก็บค่าธรรมเนียมรถติดที่เรียกว่า Area C ตั้งแต่ปี 2012 โดยมีเป้าหมายในการลดปริมาณรถยนต์ในเขตใจกลางเมือง รวมถึงลดมลพิษทางอากาศ ในระยะเวลาไม่กี่ปีหลังจากเริ่มใช้โครงการ พบว่าการจราจรในเขต Area C ลดลงถึง 30% และคุณภาพอากาศในเมืองดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ระบบนี้เน้นให้ผู้ขับขี่เลือกใช้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพื่อสร้างความยั่งยืนในระบบการขนส่งของเมือง
โซน Area C เป็นพื้นที่จำกัดการจราจรในใจกลางเมือง โดยมีค่าธรรมเนียมการเข้าพื้นที่ประมาณ 5 ยูโรต่อวัน (ประมาณ 190 บาท) ในช่วงเวลาทำการของวันธรรมดา ระหว่าง 07.30-19.30 น. เป้าหมายของนโยบายนี้คือการลดปัญหามลพิษและความแออัดในใจกลางเมือง
สตอกโฮล์ม เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จ เริ่มใช้ระบบเก็บค่าธรรมเนียมในปี 2006 และได้รับผลตอบรับที่ดีจากประชาชน เนื่องจากสามารถลดปริมาณรถบนท้องถนนได้ถึง 20-25% ภายในเวลาไม่กี่เดือน พร้อมกับการลดมลพิษทางอากาศในเมืองหลวงได้อย่างมีนัยสำคัญ
มีการใช้ระบบเก็บภาษีในช่วงเวลาเร่งด่วน เรียกว่า Congestion Tax โดยมีการเก็บภาษีตั้งแต่ 11 - 45 โครนาสวีเดน (ประมาณ 40 - 160 บาท) ต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและฤดูกาล โดยภาษีจะถูกปรับขึ้นในช่วงฤดูกาลที่มีการจราจรหนาแน่นที่สุด และสูงสุดที่ 135 โครนาสวีเดนต่อวัน
ออสโล และ เบอร์เกน นำระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดมาใช้ โดยเน้นการลดการใช้รถยนต์ในเขตเมือง ระบบในนอร์เวย์มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ในออสโลมีการนำค่าธรรมเนียมที่ผันแปรตามช่วงเวลาที่มีการจราจรหนาแน่น (Peak Hours) มาใช้ ทำให้สามารถลดจำนวนรถยนต์บนถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้รายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมยังถูกนำไปพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะอีกด้วย
มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมผ่านระบบ "toll rings" ซึ่งปรับราคาแตกต่างกันตามช่วงเวลาและวันทำงาน โดยค่าธรรมเนียมเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15 NOK (ประมาณ 1.40 ปอนด์ หรือ 55 บาท) ต่อการผ่านหนึ่งครั้ง ราคาจะสูงขึ้นในช่วงเวลาเร่งด่วน (Peak Hours) ซึ่งช่วยลดปัญหาการจราจรและสร้างรายได้ที่นำไปพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ
ในปี 2021 นิวยอร์ก ได้ประกาศว่าจะเป็นเมืองแรกในสหรัฐฯ ที่นำระบบ Congestion Charge มาใช้ โดยระบบนี้จะเน้นเก็บค่าธรรมเนียมจากรถยนต์ที่เข้ามาในเขต Manhattan ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมือง เพื่อลดปัญหาการจราจรที่หนาแน่น โดยรายได้จากค่าธรรมเนียมจะถูกนำไปใช้ปรับปรุงและขยายระบบขนส่งสาธารณะของเมืองนิวยอร์กให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
คาดว่าค่าธรรมเนียมจะอยู่ระหว่าง 9-23 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 330-840 บาท) ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของวันและวันทำงาน รายได้ที่ได้รับจะถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะในเมือง
แม้ว่าเยอรมนีจะยังไม่ได้ใช้ระบบ Congestion Charge อย่างเต็มรูปแบบในเมืองใหญ่เช่น เบอร์ลิน แต่มีการนำแนวคิด Low Emission Zone (LEZ) มาใช้ โดยการจำกัดการเข้าถึงของยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษสูงในเขตเมืองเพื่อควบคุมคุณภาพอากาศ เมืองที่มีเขต LEZ เช่น เบอร์ลิน และ มิวนิค มุ่งเน้นให้ผู้ใช้รถเลือกใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น
แนวทางนี้ช่วยลดปัญหามลพิษและการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรถที่ไม่ผ่านมาตรฐานจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม แต่ระบบนี้ยังไม่ได้ใช้เป็น Congestion Charge อย่างเต็มรูปแบบ
1. ลดปัญหาจราจรติดขัด การจัดเก็บค่าธรรมเนียมช่วยลดจำนวนรถยนต์ที่เข้ามาในเขตเมือง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการจราจรหนาแน่น ทำให้การจราจรคล่องตัวขึ้น ตัวอย่างเช่น ในกรุงลอนดอนหลังจากเริ่มใช้ระบบนี้ ปริมาณการจราจรลดลงประมาณ 15-20%
2. ลดมลพิษทางอากาศ การลดจำนวนรถยนต์ในเมืองช่วยลดการปล่อยก๊าซมลพิษ เช่น ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) และฝุ่นละออง (PM) ซึ่งช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชน ในกรุงลอนดอนและสตอกโฮล์ม การปล่อยก๊าซเหล่านี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
3. ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ รายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมมักจะถูกนำไปพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้าและรถโดยสาร ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นทางเลือกที่ดีและสะดวกในการเดินทาง
4. ปรับปรุงคุณภาพชีวิตในเมือง เมื่อมีจำนวนรถยนต์บนท้องถนนน้อยลง ถนนจะมีความเป็นมิตรต่อผู้เดินเท้าและนักปั่นจักรยานมากขึ้น เสียงรบกวนและมลพิษทางเสียงก็ลดลง ทำให้สภาพแวดล้อมในเมืองน่าอยู่ขึ้น
5. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดช่วยให้การขนส่งสินค้าและบริการคล่องตัวขึ้น เนื่องจากถนนมีความคล่องตัว การเข้าถึงธุรกิจในใจกลางเมืองก็ง่ายขึ้น ส่งเสริมให้ผู้คนเข้ามาใช้จ่ายในเขตเมืองเพิ่มขึ้น
แนวโน้มการขยายมาตรการนี้ไปยังเมืองอื่นๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและการใช้ AI ในการจัดการการจราจร คาดว่าจะเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคต
มาตรการเหล่านี้ช่วยให้เมืองใหญ่ทั่วโลกสามารถจัดการปัญหาการจราจรและมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนใช้พลังงานสะอาดและการขนส่งสาธารณะมากขึ้น ขณะที่อัตราค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะถูกปรับเปลี่ยนตามสภาพการจราจรและนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละเมือง
อ้างอิงข้อมูล