เอกชนกังวลงบฯ 67 ล่าช้ากระทบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

03 พ.ย. 2566 | 13:10 น.
อัปเดตล่าสุด :03 พ.ย. 2566 | 13:10 น.

เอกชนกังวลงบฯ 67 ล่าช้ากระทบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวแล้วจากการประเมินของ สศช. GDP ไตรมาสที่ 2/66 ที่ผ่านมาขยายตัวเพียง 1.8% ชะลอลงจาก 2.6% ในไตรมาสที่ 1/66

นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 34 ในเดือนตุลาคม 2566 ภายใต้หัวข้อ “เรื่องใดที่ภาคอุตสาหกรรมอยากเห็นในแผนการใช้งบประมาณปี 2567” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. มีความกังวลต่อผลกระทบของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่ล่าช้า และอาจส่งผลกระทบต่อการนำงบประมาณไปดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

ซึ่งที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวแล้ว จากการประเมินของ สศช. GDP ไตรมาสที่ 2/2566 ที่ผ่านมา ขยายตัวเพียง 1.8% ชะลอลงจาก 2.6% ในไตรมาสที่ 1/2566 แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ 

นอกจากนี้ด้วยข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาและเงื่อนไขต่างๆ อาจทำให้การจัดสรรงบประมาณฯ ไม่สามารถตอบโจทย์ในการลงทุนสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวได้ 
 

อย่างไรก็ดี จากผลสำรวจยังพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่คาดหวังให้รัฐบาลให้ความสำคัญและจัดสรรงบประมาณใช้จ่ายที่เน้นการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว อาทิ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมแบบมุ่งเป้าทั้งในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม 

รวมถึงการลงทุนด้านการจัดการน้ำทั้งระบบเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งน้ำแล้งและอุทกภัยในระยะยาว ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต 

เอกชนกังวลงบฯ 67 ล่าช้ากระทบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงสิ่งที่ภาครัฐควรปรับการจัดทำงบประมาณและการใช้จ่ายงบประมาณในระยะยาว พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. แนะนำให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการบูรณาการวางแผนงบประมาณเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน มีการพัฒนาและนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการติดตามวัดผลประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณควบคู่กับการเปิดเผยข้อมูลให้มากขึ้น รวมถึงเร่งพัฒนากลไกการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ เช่น ปรับโครงสร้างภาษี, สร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจเข้ามาในระบบภาษี (E-Tax Invoice, E-Withholding TAX) เป็นต้น
    
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 243 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 34 จำนวน 5 คำถาม ประกอบด้วย 

ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ล่าช้าในเรื่องใด (Multiple choices)

  • ความล่าช้าในการนำงบประมาณมาดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 63.4% 
  • การจัดสรรงบประมาณไม่ได้ตอบโจทย์ในการลงทุนสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว    56.8%
  • การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐจะไปเร่งและกระจุกตัวอยู่ในช่วงไตรมาส 3, 4   และส่งผลให้เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีแรกหดตัว    46.5%
  • โครงการลงทุนใหม่ๆ ของภาครัฐ ต้องหยุดชะงักหรือชะลอออกไป 44.4%

รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณใช้จ่ายในเรื่องใดเพื่อให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม (Multiple choices)

  • ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม แบบมุ่งเป้า 63.0%
  • ลงทุนด้านการจัดการน้ำทั้งระบบเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งน้ำแล้งและอุทกภัยในระยะยาว 52.7%               
  • ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้ผู้บริโภค 51.9%
  • พัฒนาระบบการศึกษาและบุคลากรรับรองความต้องการในอนาคต และยกระดับระบบสวัสดิการแรงงาน 48.6%

ภาครัฐควรจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างไร (Multiple choices)

  • มาตรการเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับ SMEs เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น  71.6%
  • จัดตั้งกองทุนเพิ่มผลิตภาพการผลิตสำหรับ SMEs ในการใช้ระบบAutomation & Robotics และส่งเสริมการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 53.9%
  • ส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในการซื้อสินค้าจาก SMEs ให้เพิ่มขึ้น 51.4% จาก 41% เป็น 50% ของงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างฯ ในแต่ละปี
  • เพิ่มวงเงินการส่งเสริมให้ SMEs ค้าขายระหว่างประเทศผ่านโครงการ SME Pro Active 40.7%

ภาครัฐควรปรับการทำงบประมาณและการใช้จ่ายงบประมาณในระยะยาวเรื่องใด (Multiple choices)

  • บูรณาการวางแผนงบประมาณเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน  68.7%
  • นำระบบดิจิทัลมาใช้ในการติดตามวัดผลประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณ และเปิดเผยข้อมูลให้มากขึ้น  62.6%               
  • พัฒนากลไกการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ เช่น ปรับโครงสร้างภาษี,สร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจเข้ามาในระบบภาษี เป็นต้น 56.4%                
  • วางแผนในการลดความเสี่ยงจากภาระผูกพันงบประมาณ และให้ Outsource งานให้เอกชนดำเนินการ 38.3%

หน่วยงานใดควรได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว (Multiple choices) 

  • กระทรวงอุตสาหกรรม   68.3%
  • กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  51.0%
  • กระทรวงพาณิชย์    42.8% 
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   41.6%
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม   36.6%