“ขยะอาหาร”ทั่วโลกตื่นตัวเร่งแก้ปัญหา

04 พ.ค. 2566 | 14:17 น.
อัปเดตล่าสุด :04 พ.ค. 2566 | 14:31 น.

ทั่วโลกตื่นตัวเร่งแก้ปัญหาขยะอาหาร ทั้งจูงใจและใช้ข้อกฎหมาย หวั่นอาหารขยะล้นโลก ด้านสนค. แนะไทยศึกษาวิธีลดอาหารขยะ เพื่อแก้ปัญหาความอดอยาก ลดการทิ้งอาหารมากเกินไป

ปัญหา "ขยะอาหาร"หรือ "Food Waste" เป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ (UN) เป้าหมายย่อยที่ 12.3 ร่วมกันลดปริมาณขยะอาหารของโลกลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 ทั้งในระดับค้าปลีกและผู้บริโภค และลดการสูญเสียอาหารจากกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการสูญเสียอาหารหลังเก็บเกี่ยว

“ขยะอาหาร”ทั่วโลกตื่นตัวเร่งแก้ปัญหา

รายงานดัชนีขยะอาหาร ปี 2564 (Food Waste Index Report 2021) ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ระบุว่า ทั่วโลกมีปริมาณขยะอาหารกว่า 931 ล้านตัน เทียบได้กับรถบรรทุก 40 ตัน จำนวน 23 ล้านคัน ซึ่งเกิดจากผู้บริโภค 61% ผู้ประกอบการ 26% และผู้จำหน่ายอาหาร 13% โดยเฉลี่ยแล้วทั่วโลกมีปริมาณขยะอาหารคิดเป็น 74 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

 

 

“ขยะอาหาร”ทั่วโลกตื่นตัวเร่งแก้ปัญหา

ซึ่งขยะอาหารที่ถูกทิ้งไปอย่างสูญเปล่า สร้างก๊าซเรือนกระจกถึง 8% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก และปัจจุบันผู้คนทั่วโลกกว่า 830 ล้านคน กำลังเผชิญกับความอดอยากและขาดสารอาหาร องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า หากลดปริมาณอาหารเน่าเสียหรือเหลือทิ้งทั่วโลกลงได้ 25% จะสามารถเลี้ยงดูผู้คนได้อีก 870 ล้านคน

“ขยะอาหาร”ทั่วโลกตื่นตัวเร่งแก้ปัญหา

ขณะที่ไทยรายงานดัชนีขยะอาหาร ปี 2564 ประเมินว่ามีปริมาณขยะอาหาร 79 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ที่ระบุว่าในปี 2563 ไทยมีปริมาณขยะอาหาร 5.58 ล้านตัน หรือ 80 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ขณะที่ไทยมีสัดส่วนผู้หิวโหยสูงถึง 9% ของประชากรทั้งประเทศ

ดังนั้น "ขยะอาหาร" (Food Waste)ทั่วโลกมีปริมาณขยะอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและถูกทิ้งไปอย่างสูญเปล่า ทั้งที่อาหารบางอย่าง บางประเภท สามารถนำมาบริโภคต่อได้ และยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยแก้ปัญหาความอดอยากและขาดสารอาหาร ทำให้หลาย ๆ ชาติได้ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อโลกและผู้คน จึงได้ผลักดันและออกกฎหมายให้มีการนำอาหารที่เดิมจะต้องทิ้งเป็นขยะอาหารมาใช้ให้เกิดประโยชน์

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า จากการศึกษา พบว่า มีรัฐบาลหลายประเทศได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เช่น ฝรั่งเศส ออกกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านขยะอาหาร กำหนดให้ร้านค้าปลีกตั้งแต่ 400 ตารางเมตร ห้ามทิ้งและทำลายอาหารที่ยังไม่หมดอายุ ให้ใช้วิธีทำสัญญากับองค์กรการกุศลหรือธนาคารอาหาร เพื่อบริจาคและนำไปแจกจ่ายให้ผู้ที่ต้องการ และมีมาตรการด้านภาษีเป็นแรงจูงใจ สหรัฐฯ ออกกฎหมายกำหนดให้ผู้บริจาคอาหารโดยสุจริตไม่ต้องรับโทษทางแพ่งและอาญา หากอาหารที่บริจาคไปเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

และปัจจุบันมีการจัดทำฐานข้อมูลแหล่งผลิตอาหารกว่า 1.2 ล้านแห่งทั่วประเทศ มีหน่วยรับบริจาคกว่า 5,000 แห่ง และเกาหลีใต้ได้เปลี่ยนการเก็บค่าธรรมเนียมการเก็บขยะในอัตราคงที่ เป็นเก็บตามสัดส่วนปริมาณขยะที่ทิ้งและให้แยกขยะ หากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับ เพื่อจูงใจให้ครัวเรือนลดปริมาณขยะ เรียนรู้การแยกขยะ

“ขยะอาหาร”ทั่วโลกตื่นตัวเร่งแก้ปัญหา

ขณะเดียวกันยังพบว่าภาคเอกชนในหลายประเทศ ได้มีการพัฒนาโมเดลธุรกิจเพื่อช่วยลดปัญหาขยะอาหาร เช่น สหรัฐฯ มีแอปพลิเคชัน Misfits Market ให้คนซื้อผลผลิตทางการเกษตรที่คุณภาพดี แต่ไม่สวยงาม ไม่สมบูรณ์ในราคาถูกกว่าปกติ 40% มีแอปฯ Food for All ช่วยให้ซื้ออาหารได้ 1 ชั่วโมงก่อนร้านปิด ได้รับส่วนลดสูงสุด 80% อังกฤษและไอร์แลนด์ มีแอปฯ FoodCloud เชื่อมโยงธุรกิจที่มีอาหารส่วนเกิน กับองค์กรการกุศลและชุมชนที่ต้องการอาหาร สิงคโปร์มีแพลตฟอร์ม Treatsure ให้บริการบุฟเฟต์ใส่กล่อง (Buffet In A Box) ก่อนหมดเวลาบุฟเฟต์ เดนมาร์กมีแอปฯ Too Good To Go ช่วยให้ร้านอาหาร

และร้านขายของชำต่าง ๆ นำอาหารส่วนเกินมาขายแบบลดราคา และสหราชอาณาจักรมีแอปฯ Nosh ใช้ AI คำนวณวันหมดอายุของอาหารและติดตามพฤติกรรมการซื้ออาหาร โดยจะช่วยวางแผนการซื้อของ และแนะนำสูตรอาหารจากวัตถุดิบที่มีในตู้เย็น เพื่อช่วยในการตัดสินใจก่อนออกไปเลือกซื้อสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ต

“ขยะอาหาร”ทั่วโลกตื่นตัวเร่งแก้ปัญหา

ในส่วนของไทย ปัจจุบันภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาขยะอาหาร โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะของประเทศ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2565-2570) ที่ได้บรรจุแนวทางการลดปริมาณขยะอาหาร การส่งเสริมการแบ่งปันอาหารส่วนเกิน และการให้ความรู้เพื่อลดการเกิดขยะอาหารในส่วนของผู้บริโภค ส่วนภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ก็ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ โดยมีองค์กรและธุรกิจที่ให้บริการเชื่อมโยงอาหารส่วนเกินกับผู้ที่ต้องการ อาทิ มูลนิธิรักษ์อาหาร หรือ SOS Thailand รับบริจาคอาหารจากร้านค้าปลีก หรือโรงแรม เพื่อนำมาส่งต่อให้ผู้ที่ต้องการ แต่ไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้ทั้งโรงเรียน ชุมชน และสถานสงเคราะห์ มีแอปฯ Yindii และแอปฯ Oho! เป็นแพลตฟอร์มสั่งอาหารคุณภาพดีที่เหลือจากการขายหน้าร้านอาหาร โรงแรม และซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่ถูกกว่าราคาจริง 50-80% ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าเข้าร่วมแล้วกว่า 200-500 แห่ง 

ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการลดโอกาสการเกิดขยะอาหาร ทั้งต้นน้ำและกลางน้ำของห่วงโซ่อุปทานอาหาร เพื่อบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรให้มีความสมดุล การบริหารจัดการสินค้า และการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ ที่เชื่อมโยงให้ผลผลิตจากตลาดสินค้าเกษตรส่งถึงมือผู้บริโภคก่อนจะเน่าเสีย และร่วมกับภาคธุรกิจจัดอบรมให้ความรู้ผู้ประกอบการร้านอาหาร เพื่อลดการเกิดขยะอาหารจากร้านค้าปลีก

โดยเห็นว่ายังมีช่องว่างการพัฒนาที่ภาครัฐสามารถพิจารณาหาแนวทางและกลไกช่วยขับเคลื่อนการดำเนินการ และภาคธุรกิจยังสามารถแสวงหาโอกาสและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับอาหารส่วนเกินเพื่อไม่ให้กลายเป็นขยะอาหารได้ โดยยกระดับการดำเนินการโดยอาศัยการประยุกต์ใช้แนวทางปฏิบัติที่ดีจากหลายประเทศ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในองค์รวม และนำไปสู่การลดปริมาณขยะอาหารในทุกขั้นตอนตลอดห่วงโซ่อุปทานต่อไป