TU สยบข่าว ถอนตัวลงทุน "เรด ล็อบสเตอร์" ภัตตาคารอาหารทะเลใหญ่ที่สุดในโลก

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU บริษัทผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งและบรรจุกระป๋องครบวงจร โดยเน้นอาหารทะเล รายใหญ่ของไทย ออกมายืนยันการเดินหน้าธุรกิจ เรด ล็อบสเตอร์ (Red Lobster) ซึ่งเป็นเชนภัตตาคารอาหารทะเลรายใหญ่ของสหรัฐฯ และของโลก

การออกมายืนยันเดินหน้าธุรกิจเรด ล็อบสเตอร์ ของ TU ครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังมีกระแสข่าว่าบริษัทกำลังพิจารณาที่จะถอนตัวออกจากธุรกิจเรด ล็อบสเตอร์ที่กำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก ถึง 9.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา หลังจากที่ไทยยูเนี่ยนเพิ่งเพิ่มการถือหุ้นในเรด ล็อบสเตอร์ได้ไม่ถึง 3 ปี

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU เปิดเผยว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเรด ล็อบสเตอร์ เชนร้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่บริษัทถือหุ้นอยู่มีผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ทั้งในเรื่องอัตราการเติบโตของยอดขาย และความสามารถในการจัดการต้นทุนการดำเนินงานที่ทำได้ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทั้งนี้เป็นผลจากการที่เรด ล็อบสเตอร์ดำเนินธุรกิจตามแผนการพลิกฟื้นธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง เพื่อร่วมกันสร้างเรด ล็อบสเตอร์ ให้เป็นธุรกิจร้านอาหารทะเลที่สามารถตอบโจทย์ตรงใจทั้งนักลงทุนและผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุม ทั้งในแง่ของความอร่อย สด ใหม่ และคุ้มค่า

นอกจากนี้ เรด ล็อบสเตอร์ ยังได้มีการเร่งจัดทัพแคมเปญพร้อมโปรโมชั่น  พัฒนาคุณภาพและการบริการ พร้อมนำเสนอเมนูใหม่ ๆ เพื่อมุ่งขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผน ทั้งกลยุทธ์ทางการตลาด การพัฒนาบุคลากร คุณภาพสินค้าและบริการต่าง ๆ  รวมถึงมีผู้บริหารจากสำนักงานใหญ่เข้าไปดูแล

ณ สิ้นปี 2565 TU มีสินทรัพย์รวม 182,569.47 ล้านบาท หนี้สินรวม 94,438.04 ล้านบาท รายได้รวม 156,560.31 ล้านบาท กำไรสุทธิ 7,138.00 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.47 บาท

ขณะที่ราคาหุ้น TU ล่าสุด ณ วันที่ 10 มีนาคม 2566 อยู่ที่ 14.50 บาท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 69,191.32 ล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 หุ้น TU ร่วงลงไป 6% ต่ำสุดที่ 14.10 บาท และมาปิดที่ 14.50 บาท(-3.33%) เพราะตลาดกังวลการตั้งสำรอง หากมีการขาย Red lobster  

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่าหากขายจริงจะเป็นเพียงผลกระทบ Onetime แต่การขาย Red lobster เป็นบวกระยะยาว เพราะเป็นธุรกิจที่มีผลขาดทุนกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี