คนเราไม่ว่าจะอยู่ในเพศ ฆราวาสหรือนักบวช ต่างก็ต้องประสบกับคำว่า กรรมเก่า แม้จะเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือเป็นพระสงฆ์ ที่มีสมณศักดิ์ ใหญ่โตเพียงใดก็ตาม ก็มิอาจรอดพ้นกับคำว่ากรรมได้
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจสภะ) วัดมหาธาตุฯ เมื่อครั้ง ที่มีสมณศักดิ์เป็น "พระพิมลธรรม" ก็เคย ประสบ กับเศษบาปเศษกรรมบางอย่าง ที่เข้ามาในชีวิตของท่าน และเรื่องราวของท่านนี้ช่างน่าศึกษาและน่าสนใจยิ่งนัก ในมุมของพระพุทธศาสนาในแง่ของกรรม
พระพิมลธรรมเมื่อครั้ง ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุเป็นผู้ส่งเสริมวิปัสสนาธุระเป็นอย่างดีด้วยการนำเอาแนวทางสติปัฏฐาน 4 มาจากประเทศพม่าด้วยการฝึกอุบายยุบหนอพองหนอ โดยให้คณะ 5 ของวัดมหาธาตุ เป็นที่ฝึกวิปัสสนา สมัยผมเป็นเด็กๆ เคยเข้าไปในคณะ 5 เห็นทั้งพระไทยพระฝรั่ง พระ ชาวอีสานชาวลาว มาฝึกกรรมฐานกันมากมาย
แต่เรื่องราวของพระพิมลธรรมที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2503 เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง เพราะท่านถูกโจทก์ จนต้องอธิกรณ์ ด้วยข้อกล่าวหาว่าเสพเมถุนทางเวจมรรคกับลูกศิษย์ และมีข่าวว่าพระศาสนโศภน (ปลอด อตฺถการี) อยู่กับสีกาสองต่อสองในที่ลับหูลับตาหลายครั้ง
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ) สมเด็จพระสังฆราช จึงมีพระบัญชาให้ทั้งสองรูปพ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ทั้งสองรูปปฏิเสธ โดยตั้งใจจะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน
คณะสังฆมนตรีของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี) จึงมีมติว่าทั้งสองรูปฝ่าฝืนพระบัญชา ไม่ควรอยู่ในสมณศักดิ์ต่อไป ให้ถอดทั้งสองรูปออกจากสมณศักดิ์ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2503
ต่อมาใน พ.ศ.2505 พระมหาอาจได้ถูกทางการกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จึงถูกบังคับสึกเป็นฆราวาสแต่ท่านมิได้กล่าวเอ่ยคำลาสิกขาบทใดๆ และจำคุกอยู่ที่กองบังคับการตำรวจสันติบาลอยู่หลายปี ในขณะติดคุกก็ปฏิบัติตนเช่นเมื่อครั้งเป็นพระภิกษุอยู่
จนกระทั่งศาลทหารสามารถพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นความเท็จ และตัดสินยกฟ้องเมื่อ พ.ศ.2509
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรจึงโปรดให้พระเถระทั้งสองรูป คืนสู่สมณศักดิ์เดิมตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2518 โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ไปรับและถวายคืนสู่สมณเพศและสมณศักดิ์
นี่นับเป็นกรรม อย่างหนึ่งของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภะ) ครั้นสิ้นเรื่องราวของท่านแล้ว ต่อมาขอเล่าถึงบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับกรรมนี้อีกกล่าวคือ
เมื่ออดีตพระพิมลธรรมช่วงที่อยู่เรือนจำนั้น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ) เกิดอุบัติเหตุรื่นล้มในห้องน้ำ สิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา จึงตั้งสมเด็จพระสังฆราช (อยู่) วัดสระเกศ ปกครองสังฆมณฑล สืบต่อครองอยู่ได้ไม่นานก็สิ้นพระชนม์
จากนั้นตั้งสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี) ได้ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งได้เพียง 6 ปี ก็เกิดอุบัติเหตุ ถูกรถสิบล้อชนขบวนรถที่นั่งของ สมเด็จพระสังฆราช (จวน) จนยับเยิน สมเด็จพระสังฆราช (จวน) สิ้นพระชนม์
ทั้งสมเด็จพระสังฆราช (ปลด) สมเด็จพระสังฆราช (จวน) ต่างมีกรรมผูกมาแต่กับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภะ) ทั้งสองสมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์ด้วยไม่ปกติวิสัยมนุษย์ คือ ท่านหนึ่งลื่นล้ม อีกท่านหนึ่งเกิดอุบัติเหตุ
กระทั่งในยุคนั้นมีเสียงร่ำลือกล่าวกันว่า พระพิมลธรรมหรือสมเด็จพุฒาจารย์ (อาจ) เป็นผู้มีกุศลเจตนาในจิตใจอย่างมาก ในเรื่องการประพฤติปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นมหากุศลที่ค่อนข้างแรง ดังนั้นบุคคลใดก็ตาม ที่ร่วมกล่าวหา กล่าวโจทก์ท่านจนต้องอธิกรณ์ ต่างก็ได้รับผลในการลาลับดับขันธ์ ในเหตุที่แตกต่าง แต่ที่สำคัญเหตุนั้นๆ ไม่พึงควรเกิดขึ้นกับพระภิกษุ แต่ก็เกิดได้... ราวมกับมีกรรมสืบเนื่องต่อกันและกัน
ดังนั้น กรรม จึงมีจริงโดยมิต้องสงสัยแต่ประการใด ไม่ว่าจะเป็นพระหรือโยม ทำกรรมใดไว้เรื่องอะไร กับใคร ก็ย่อมต้องได้รับสนองย้อนคืนนั่นแล ในไม่ช้าก็เร็ว