ผู้สูงวัยต้องระวังความเครียด

20 พ.ค. 2566 | 05:30 น.

คอลัมน์ชีวิตบั้นปลายของชายชรา ผู้สูงวัยต้องระวังความเครียด โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ช่วงที่ผ่านมา บ้านเมืองเราอยู่ในช่วงของการเลือกตั้ง ก่อนกำหนดการเลือกตั้งจะมาถึง ผมไปไหนมาไหน ก็มักจะระมัดระวังตัวระวังคำพูดเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าพูดจาไม่ถูกหูเพื่อนที่เขามีอุดมการณ์ทางการเมืองอยู่ พอพูดขัดหูเข้าหน่อย ก็อาจจะมีการเสียเพื่อนได้ง่ายๆ แม้แต่อยู่ที่บ้านตัวเอง ก็ต้องทำตัวให้สงบเสงี่ยมเจียมตัวเข้าไว้ เพราะทั้งแม่ทั้งลูก เขาก็มีความคิดอ่านทางการเมืองของเขา ดังนั้นเราในฐานะผู้อยู่อาศัย ก็ควรจะต้องระมัดระวังปากเข้าไว้ เพื่อความสงบสุขของบ้านเรือนครับ
         
พอช่วงการเลือกตั้งผ่านพ้นไป เราๆ ท่านๆ ก็ทราบผลกันไปหมดแล้ว ก็คิดว่าคราวนี้น่าจะสงบลงได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่วายที่จะเห็นเพื่อนๆ ในไลน์กลุ่มต่างๆ ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป ต่างก็แสดงความคิดเห็นทางการเมืองกันในไลน์กลุ่มกันอย่างเมามัน อีกทั้งไม่วายที่จะมีเพื่อนๆ หลายท่าน ที่อาจจะติดพันต่อเนื่อง ยังส่งความคิดเห็น (ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะก๊อปปี้เขามาทั้งดุ้น)ต่างๆ มาทางไลน์ส่วนตัวอีกก็เยอะ 

บางรายถึงกับพูดกันไปเถียงกันมา จนบางทีเราก็อยากจะบอกเขาว่า ก็ปล่อยวางบ้างเถอะ อย่าไปวุ่นวายใจกับนักการเมืองเขามากนักเลย ก็ไม่กล้าพูด เพราะเกรงว่าเขาจะไม่พอใจ เดี๋ยวจะหาว่าเราไม่ใส่ใจเรื่องของบ้านของเมือง หรืออาจจะสุดๆ ไปด้วยการบอกว่า เราไม่รักชาติเข้าไปโน้นเลยก็มีครับ
       

บทความนี้ก็เพียงแต่จะบอกผู้เฒ่าผู้แก่ว่า เราก็อายุปูนนี้แล้ว อะไรที่ปล่อยวางได้ ก็ควรจะปล่อยวางบ้างนะครับ สุขภาพจิตของเรา ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ขาของสุขภาพ จะได้ดีขึ้น ที่บอกว่าสี่ขาของสุขภาพที่ผมพูดถึง ก็คือสุขภาพกาย สุขภาพจิตใจ สุขภาพสิ่งแวดล้อม และสุขภาพทางสังคม ที่สามารถชี้เป็นชี้ตายให้แก่ผู้สูงวัยอย่างพวกเราได้ 

เพราะเราอายุปูนนี้ หากสุขภาพกายไม่ดี ต้องเข้าไปนอนซมอยู่ที่โรงพยาบาล หรือต้องไปหาหมอตลอด แน่นอนว่าไม่ดีแน่ ส่วนสุขภาพทางสิ่งแวดล้อม ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเราก็เช่นกัน หากทุกวี่ทุกวัน ต้องประสบพบเจอกับสิ่งที่เราไม่ปรารถนาตลอด ก็คงจะย่ำแย่ และสุขภาพสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมครอบครัว สังคมเพื่อนฝูง สังคมที่ทำงาน สังคมส่วนรวม และที่ใหญ่ไปกว่านั้นคือสังคมของประเทศชาติ 

ถ้าเราต้องมารองรับสังคมที่มีแต่มลพิษต่างๆ เหล่านี้ทุกวัน เราก็คงต้องขออำลาไปเฝ้าพระอินทร์จะดีกว่าละครับ สุดท้ายก็จะเข้าสู่สุขภาพจิต ที่แม้จะพูดว่ามันอยู่ในจิตใจตัวเราเองเท่านั้น ไม่ได้ไปทำร้ายหรือไปกระทบกระเทือนใคร แต่จริงๆแล้ว ผมว่าก็กระทบกระเทือนนะครับ เพราะคนรอบข้างของเรา อาจจะต้องมาเป็นทุกข์ใจกับเราก็เป็นได้ครับ ดังนั้นช่วงนี้เราคงต้องปล่อยวางเสียบ้างก็จะดีนะครับ

พูดถึงสุขภาพจิตหลังจากการเลือกตั้ง ที่ผมเห็นเพื่อนๆ ผู้สูงวัยหลายท่าน ต่างก็ชอบตั้งตัวเป็นกูรูทางการเมืองด้วยกันทั้งนั้น มีการวิจารณ์วิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล แต่ผมก็ได้แต่มองด้วยความกังวลใจแทน เพราะหากเราหมกมุ่นมากจนเกินไป สุขภาพจิตก็จะมีปัญหา ซึ่งผู้สูงวัยส่วนใหญ่ ถ้าหากจิตใจหมกมุ่นไม่ผ่องใส ก็จะส่งผลต่อสุขภาพจิตได้เสมอ ซึ่งปัญหาภาวะสุขภาพจิตที่พบบ่อยๆ ในผู้สูงวัย มักจะมีอาการอารมณ์แปรปรวน มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่รวดเร็ว หลากหลายอารมณ์ภายในวันเดียว 

โดยอาจจะรู้สึกเศร้า รู้สึกมีความสุข หรืออาจจะร้องไห้โดยไร้สาเหตุ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ในลักษณะเช่นนี้ มักจะเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ หรือเกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วย ความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ความผิดปกติของระดับในร่างกาย ความเครียด การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในชีวิต หรือแม้แต่โรคจิตเวชบางชนิด ดังนั้นผู้สูงวัยเช่นเรา จำเป็นต้องระมัดระวังอย่าให้เครียดเกินไป
           
สำหรับภาวะเครียดของผู้สูงวัย มักจะวิตกกังวล รู้สึกเครียดง่าย เนื่องจากปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ยาก พวกเราชาวคนแก่ทั้งหลาย แน่นอนว่าความสามารถและประสิทธิภาพของร่างกายต้องลดลงไปตามธรรมชาติเสมอ จึงมักจะแสดงออกมาเป็นความกลัว และขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ย้ำคิดย้ำทำ นอนไม่หลับ ว้าเหว่และท้อแท้ ความวิตกกังวล และอาจแสดงออกทางสภาพร่างกายได้เช่นกัน เช่น อาการปวดศีรษะ ท้องเสีย ท้องผูก เบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย ปวดตึงกล้ามเนื้อมือเท้าเย็น เป็นต้น 

อีกทั้งยังสามารถแสดงออกด้านพฤติกรรม เช่น จู้จี้ ขี้บ่น มีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นบ่อย อีกทั้งไม่อยากอยู่ร่วมสังคมกับผู้อื่น หรือชอบเก็บตัว แม้แต่การกัดเล็บกัดฟัน บางคนก็หันไปพึ่งการสูบบุหรี่จัด หรือดื่มเหล้าหนักเลยก็มีครับ จนบางครั้งหากอาการหนักๆ เข้า ก็อาจจะนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้เสมอ
      
ดังนั้นในสถานการณ์การเมืองในบ้านเราวันนี้ พวกเราผู้สูงวัยทั้งหลาย ต้องเข้าใจและทำใจให้สบาย หากเราไม่ได้มีส่วนร่วมหรืออยู่ในสถานะที่จะเข้าไปร่วม ก็ถอยๆ เสียบ้าง อย่าได้หมกมุ่นจนเกินกว่าเหตุ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ในสถานะ เขาทำกันไปเถอะ ไม่ใช่ว่าเราไม่ห่วงหรือไม่รักชาติ 

แต่เราไม่ได้มีความสามารถหรือมีพละกำลัง พอที่จะเข้าไปร่วมได้ เราก็ถอยออกมาอยู่ในสถานะของผู้ชม ที่รักใครชอบใคร ก็ให้นึกเสียว่าเขาเป็นพระเอกในดวงใจ เกลียดใครชังใคร ก็ให้นึกเสียว่าเขาเป็นผู้ร้ายในบทละครหรือในโรงลิเก จากนั้นเราก็เชียร์อยู่ห่างๆ ก็แล้วกันครับ จะได้ไม่เครียด......