โรคอ้วน ที่สาวๆและผู้สูงวัยไม่พึงปรารถนา

01 เม.ย. 2566 | 05:00 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ค. 2566 | 20:13 น.

โรคอ้วน ที่สาวๆและผู้สูงวัยไม่พึงปรารถนา คอลัมน์ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้โทรศัพพ์คุยกับเพื่อน ที่เป็นทั้งเพื่อนรักกันมาอย่างยาวนานและเป็นแฟนคลับด้วย ท่านบอกว่าทำไมลุงถึงพูดแต่เรื่องคนแก่ ทำไม่ไม่พูดเรื่องของเด็กๆ บ้างละ? วันนี้ผมเลยเอาเรื่องที่ทั้งคนสูงอายุและคนอายุน้อยไม่พึงปรารถนามาเล่าสู่กันฟังนะครับ 

นั่นก็คือ “โรคอ้วน” เผื่อใครที่มีอาการอ้วนผิดปกติ จะได้รีบๆ ลดความอ้วนเสียบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับจะต้องลดน้ำหนักจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกนะครับ เพราะนั่นก็สามารถนำพาโรคร้ายเข้าสู่ร่างกายเราได้เช่นกันครับ เอาแค่ประมาณสวยๆ ก็พอครับ
        
โรคอ้วนไม่เฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่ควรเป็นเท่านั้น เด็กๆ ก็ไม่ควรเป็นอย่างยิ่งครับ เราจะเห็นว่าตอนเด็กๆ ลูกหลานต้องอ้วนท้วนสมบูรณ์ จึงจะทำให้คุณพ่อ-คุณแม่หรือปู่ย่า ตายายดีอกดีใจกัน และมักจะชมว่า “ตุ้ยนุ้ยน่ารักจัง” แต่พอย่างเข้าสู่วัยรุ่น ก็ยังชมต่ออีกว่า “เอ่อนะ..มีน้ำมีนวลดีจัง” 

ส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าหากว่าอ้วนไม่มากหรืออ้วนพอประมาณ ก็ยังพอทำเนาครับ เพราะลดน้ำหนักไม่ยาก หรือพอเด็กยืดตัวเต็มที่ น้ำหนักที่สั่งสมไว้ก็จะค่อยๆ ลดลงไป แต่ถ้าหากอ้วนมากๆ จนเกินไป ก็ลดลำบากแล้วละครับ และหารู้ไม่ว่า นั่นเป็นการสั่งสมสารพัดโรคเข้าให้แล้ว ความอ้วนจะนำพาเอาสารพัดโรคเข้ามาโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยละครับ
         
สำหรับเด็กๆ ที่อายุไม่มาก ยังพอมีเวลาที่จะจัดการกับไขมันส่วนเกินได้นะครับ อย่ารอให้สายเกินแก้ละ! ผมก็มีเพื่อนรักและเป็นหุ้นส่วนท่านหนึ่ง ท่านเป็นถึงผู้บริหารของโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงมาก วันหนึ่งท่านนั่งรถของโรงพยาบาลมาเยี่ยมผมที่สถานบ้านพักคนวัยเกษียณของผม 

พอมาถึงคนขับรถลงมาเปิดประตูให้ รูปร่างของคนขับรถตอนแรกก็ดูไม่ออกเลยว่า เป็นคนเคยอ้วนระดับ 250 กิโลกรัมมาก่อน แต่ท่านเล่าให้ฟังว่า คนขับรถคนนี้ ก่อนหน้าจะเข้ามาทำงาน เขาเคยอ้วนจนเดินไม่ได้ จนกระทั่งลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ เพื่อขอความเมตตาท่านผู้ใจบุญ ให้ช่วยเหลือหรือจะทำอย่างไรก็ได้ 

เรื่องนี้เลยไปเข้าหูผู้บริหารโรงพยาบาลที่ท่านทำงานอยู่ คนขับรถคนนี้จึงต้องถูกไปรับมาให้การช่วยเหลือ ด้วยการเข้าคอร์สของโรงพยาบาล ด้วยการผ่าตัดลำไส้เล็กส่วนต้น (Biliopancreatic diversion with duodenal switch) และการผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหารแบบ Gastric sleeve 

จากนั้นก็มีการดูดเอาไขมันออกมา ซึ่งเป็นการรักษาที่ใช้เวลาที่ยาวนานมาก จนกระทั่งลดลงมาเหลือประมาณ 85 กิโลกรัม ถ้าหากใช้เงินส่วนตัวไปรักษา คงหมดหลายตังค์แน่ และปัจจุบันนี้เขาได้หายดีเป็นปกติแล้ว และกำลังพยายามที่จะรักษาน้ำหนักให้อยู่ประมาณ 75 กิโลกรัม  

ซึ่งต่อมาตัวเขาจึงปวารณาตน ที่จะเข้ามาขอช่วยงานโรงพยาบาล จึงได้มาเป็นคนขับรถรับส่งผู้บริหารจนถึงทุกวันนี้ครับ เห็นมั้ยละว่า ความอ้วนนั้นเวลากินก็สบายปาก แต่เวลาจะลดน้ำหนัก ก็ลำบากตัวนะครับ เพราะฉะนั้นน้องๆ ลูกๆ หลานๆ ต้องรู้จักระวังตนเอาไว้ด้วย อย่าเอาแต่สบายปากเอร็ดอร่อยแค่นั้น สุดท้ายจะเจ็บตัวโดยไม่จำเป็นนะครับ
            
การที่จะเกิดอาการโรคอ้วนหรือไม่? หรืออ้วนมากเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าอันตราย? ผมเชื่อว่าทุกท่านน่าจะมีความรู้ในการตรวจวัดดัชนีมวลกายอยู่แล้ว หรือคนที่ยังไม่ทราบ ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ครับ ที่ผมเห็นเขานิยมใช้ในการวัดกัน คือการวัดดัชนีมวลกาย (BMI) โดยค่าดัชนีมวลกาย = น้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง 

ตัวอย่างเช่น น้ำหนักตัวเรา 75 กิโลกรัม ความสูงเรา 1.65 เมตร เราก็จะเอา 75 ตั้งหารด้วย 2.7225 จะได้เท่ากับ 27.55 แล้วเอาผลที่ได้เทียบดูว่าเราอ้วนหรือผอม เพราะถ้าได้ 30.0 ขึ้นไป ก็เท่ากับตัวเราอ้วนเกินไปแล้ว หรือถ้าได้ 25-29.9 ก็ถือว่าอ้วน หรือ 18.6- 22.90 ก็เป็นน้ำหนักปกติดีและเหมาะสม แต่ถ้าได้ 18.5 ก็ผอมเกินไปครับ ส่วนตัวผมเอง ก็ยังถือว่าอ้วน....ฮา
        
ทีนี้เรามาดูว่าสาเหตุของโรคอ้วน เกิดขึ้นได้อย่างไร? และจะมีปัญหาอะไรกับสุขภาพของเรา? ความอ้วนนั้นเกิดจากตัวเรามีปริมาณไขมันในร่างกายที่มากเกินไป ซึ่งอาจจะทำให้เกิดโรคและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็ง เป็นต้น นั่นเป็นบ่อเกิดของโรคอื่นๆ ที่จะตามมาอีกเยอะแยะมากมายอีกหลายโรค 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วนก็มีหลายประการ ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม พฤติกรรมการเผาผลาญ และฮอร์โมน การรับแคลอรี่มากเกินไป หรือเกินกว่าที่ร่างกายจะเผาผลาญออกไป เช่น ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ หรือการออกกำลังกายตามปกติ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคอ้วนได้เช่นกัน สำหรับผู้ที่ยังอยู่ในวัยไม่มาก อาจจะเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการทานขนมหวาน ดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดโรคอ้วนได้เช่นกันครับ
          
แม้ว่าโรคอ้วนจะเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุของเรา แต่สำหรับผู้สูงอายุ ฮอร์โมน การเผาผลาญและปริมาณของกล้ามเนื้อก็จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ถ้าเทียบกับเด็กๆ ก็จะเผาผลาญได้ไม่ดีเท่าเด็กๆ ส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนักตัว อีกอย่างเราไม่สามารถที่จะเล่นกีฬา หรือกระโดดโลดเต้นได้เหมือนเด็กๆ แล้ว 

ดังนั้นผู้สูงวัยอย่างเรา จึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษนะครับ อย่าตามใจปากมากจนเกินไป ถ้ามีปัญหาโรคอ้วน สิ่งที่จะตามมาอีกหลายโรค เราไม่สามารถคาดคะเนได้เลยครับ ดังนั้นการควบคุมพฤติกรรมการกินของเรา จะง่ายกว่ารอให้โรคเข้ามาสู่ตัวเราแล้ว จึงค่อยมาทานยาตามหลัง บางคนอาจจะขอทานให้อร่อยก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยลดน้ำหนักก็ได้ นั่นเป็นการเลี่ยงบาลีของคนที่กำลังจะเริ่มอ้วนเลยละครับ