สภาวะโรคจิตเภทของผู้สูงวัย

11 มี.ค. 2566 | 05:00 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ค. 2566 | 21:10 น.
1.1 k

สภาวะโรคจิตเภทของผู้สูงวัย คอลัมน์ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

หลายวันก่อน ได้มีบุตรของผู้สูงอายุที่มีสภาวะโรคจิตเภทท่านหนึ่ง ได้โทรเข้ามาปรึกษา เรื่องการดูแลบิดาของเขามีอาการจิตเภท ว่าสมควรที่จะต้องดูแลอย่างไรดี? เพราะว่าหากจะนำมาฝากไว้ที่บ้านพักคนชราทั่วๆ ไป เขาก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะรับไปดูแล ผมก็เห็นใจเขาเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะช่วยเหลือได้อย่างไรดี ผมจึงได้ไปสืบค้นหาถึงสาเหตุและวิธีการดูแลรักษาอย่างไร? เพื่อจะได้นำไปบอกต่อให้เขาไปดูแลคุณพ่อของเขา 
        
ก่อนอื่นเรามาดูว่า โรคจิตเภทในประเทศไทยเรามีมากแค่ไหน? พอจะสรุปได้ว่า โรคจิตเภทนี้ ในบ้านเราเป็นโรคที่พบมากในหมู่ผู้สูงอายุ ซึ่งมีมากถึง 0.3-1% หรือ หนึ่งร้อยคนต้องมีผู้เป็นโรคนี้ประมาณ 1 คน ถ้ามองว่ามากก็ถือว่ามาก มองว่าน้อยก็ถือว่าน้อย แต่ทุกๆ ปีจะมีผู้ป่วยรายใหม่ๆ เกิดขึ้นประมาณ 0.1% ทุกปี 

ยิ่งสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำไปทั่วทั้งโลก ยิ่งส่งผลให้เกิดโรคนี้มากยิ่งขึ้น เพราะสาเหตุหลักๆ ของโรค มักจะเกิดจากความกดดันทางสภาวะจิตใจ อารมณ์ และความรู้สึกทั้งสิ้น ดังนั้นหากผู้สูงอายุมีความกดดันมากๆ ก็จะยิ่งทำให้มีโรคนี้เกิดขึ้นมากนั่นเอง

ในส่วนของคนที่อยู่ในวัยทำงานจะมีการเป็นโรคชนิดนี้ได้หรือไม่? ขอโทษ ไม่ได้รับการยกเว้นครับ ตัวผมเองก็เคยพบเจอมาแล้ว จากลูกสาวของเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นชาวไต้หวัน ลูกสาวเขามีอาการดังกล่าวที่รุนแรงมาก เขาจึงขอร้องให้ผมพาลูกสาวเขาไปหาพระที่มีวิชาอาคมเก่งๆ เพื่อช่วยรักษาให้หน่อย 

ในช่วงนั้นผมต้องบอกตามตรงว่า “มึนตึบ”เลยครับ ไม่รู้จะพาไปหาพระที่ไหน ? จึงเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้น้องๆ ที่โรงข้าวสารของผมที่นวนครฟัง มีน้องคนหนึ่งชื่อ “พะเยา” เขาเป็นสายมู พะเยาบอกผมว่า ใกล้ๆ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร มีพระอยู่รูปหนึ่ง ท่านอาศัยอยู่ที่วัดใกล้ๆ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร ท่านเป็นพระที่เชี่ยวชาญคาถาอาคมมาก ผมจึงบอกเพื่อนเขาไป ปรากฏว่าเขาพาลูกสาวเขามาจริงๆ ครับ 

พะเยาจึงพาผมและคณะไปพบพระรูปนั้น พระท่านก็สวดมนต์ว่าคาถาอาคมของท่านไป จากนั้นก็ให้ไปอาบน้ำมนต์ ตัวน้องเขาสั่นงันงกเลยครับ ส่วนอาการป่วยจะหายหรือไม่หาย ผมก็ไม่ทราบครับ เพราะหลังจากที่เขากลับไปไต้หวันแล้ว ผมก็ไม่ได้ติดตามข่าวคราวอีกเลยครับ

อาการของผู้ที่เป็นโรคจิตเภท จะมีระยะการเกิดโรคได้ 3 ระยะคือ 1,ระยะเริ่มมีอาการ  2,ระยะอาการกำเริบ และระยะสุดท้าย หากมีการได้รับการรักษา ก็จะเป็นระยะที่ 3,ระยะอาการหลงเหลือ ในระยะที่ 1 ผู้สูงอายุมักจะเริ่มมีอาการเปลี่ยนแปลง มีพฤติกรรมที่แปลกๆ ให้เห็นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนฝูง 

ซึ่งอาจจะเกิดจากความกดดันอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ส่วนใหญ่ถ้าไม่อาละวาดกับคนรอบข้าง ก็จะเก็บตัวเงียบๆ อยู่คนเดียว จากเดิมที่เคยเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง ก็จะเริ่มมีความไม่ชอบขี้หน้าคนโน้นคนนี้เสมอ บางท่านอาจจะเปลี่ยนไปด้วยการเชื่อถือทางด้านไสยศาสตร์ หรือทางด้านศาสนา ปรัชญาชีวิต ฯลฯ 

หากสังเกตดู จะเห็นว่าหมกมุ่นกับเรื่องลี้ลับ ไม่สนใจผู้คนรอบข้าง บางคนถึงกับข้าวปลาไม่ยอมกิน เพ้อเจ้อ มีความคิดและคำพูดดูแปลกๆ จากเดิมไป พฤติกรรมที่เหมือนว่าจะเกียจคล้าน ตื่นสายผิดปกติบ่อยๆ ไม่ใส่ใจในการดูแลตนเอง ปล่อยเล็บยาวหรือเล็บดำโดยไม่สนใจ ทำตัวเหมือนคนสกปรก 

สิ่งเหล่านี้หากไม่ได้รับความใส่ใจ ก็อาจจะดูเหมือนแค่เป็นเรื่องธรรมดาไป แต่ถ้าปล่อยผ่านไปนานวัน อาจจะเริ่มเข้าสู่ระยะที่ 2 ต่อไปได้เลยครับ
           
ระยะที่ 2 เมื่อเข้าสู่ระยะที่ 2 ของโรคจิตเภท ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการประสาทหลอน หูแว่ว หลงผิดคิดว่าตนเองมีองค์ หรืออาจจะแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ บางท่านอาจจะคิดว่ามีคนมาว่าร้ายตนเองเสมอ หรือคิดว่ามีคนมากระซิบข้างหู หรือมีคนมาถกเถียงกันอยู่ข้างๆเสมอ 

หรือบ้างก็คิดว่ามีผู้มีอำนาจเหนือมนุษย์ มาดลบันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับตนเอง ในทางกลับกัน ก็อาจจะคิดว่ามีสิ่งเหนือปกติทำให้ตนเองเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งก็มีทั้งเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือในทางที่ร้ายก็เป็นได้ทั้งสองทาง บางท่านก็อาจจะมีอาการประสาทหลอน คิดเอาเองว่าสิ่งที่ตนเองคิดในใจ ทำไมคนรอบข้างจึงรู้ได้ หรือทราบหมดว่าตนเองคิดอะไรหรือกำลังจะทำอะไร 

บางท่านก็อาจจะมีความเชื่อว่าอารมณ์ความรู้สึก แรงผลักดัน หรือการกระทำที่มีในขณะนั้นมิใช่ของตนเอง แต่มาจากอำนาจพิเศษมาควบคุมบังคับให้เป็น ตนเองเป็นแค่ตัวแทนขององค์ที่มองไม่เห็น จึงต้องคอยทำตามการควบคุมนั้น เป็นต้น
      
เพื่อนๆ อาจจะมีข้องสงสัยว่า แล้วโรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคจิตเภทนี้ อาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือเกิดจากอาการระบบสารเคมีในสมอง หรือการผิดปกติของสมองบางส่วนนั่นเอง ในเรื่องของกรรมพันธุ์คงเป็นเรื่องที่ยากที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ คงได้แต่เพียงรักษาไปตามอาการเท่านั้น ส่วนระบบสารเคมีในสมอง และการผิดปกติของสมองบางส่วน แพทย์เขามีวิธีการรักษาอยู่แล้ว เชื่อเถอะว่าการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน จะต้องดีกว่าการให้หมอผีเป่ากระหม่อมแน่นอนครับ
    
อาการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ นั่นแสดงว่าได้มีอาการที่กำเริบแล้ว ทางเดียวที่จะเป็นผลดีต่อตัวของผู้สูงวัย คือลูกหลานต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร่งด่วน เพื่อให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี อย่าไปเชื่อสิ่งลี้ลับตามผู้ป่วยละ เดี๋ยวจะกลายเป็นโรคจิตเภททั้งบ้าน คราวนี้คงยุ่งตาย...หะ เลยครับ
    
ส่วนระยะสุดท้าย ที่บอกว่าเป็นระยะอาการที่หลงเหลืออยู่ ลูกหลานต้องใส่ใจเป็นพิเศษครับ สิ่งที่จะต้องทำ คือต้องดูแลให้ผู้ป่วยได้ทานยาอย่างเข้มงวด อีกทั้งต้องหมั่นทานยาตามที่คุณหมอสั่ง อย่าได้ปล่อยปละละเลย อีกทั้งต้องอย่าปล่อยให้อยู่คนเดียวตามลำพัง หากดูแลให้ดี คิดว่าไม่นานเกินรอ เดี๋ยวก็จะดีขึ้นแน่นอนครับ