KEY
POINTS
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนแฟนคลับที่เป็นชาวไต้หวันท่านหนึ่ง สอบถามผมมาว่า เขามีเพื่อนที่สนิทกันท่านหนึ่ง เป็นโรคข้อเข่าอักเสบหรือโรครูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis: RA) ที่รุนแรงมาก โดยเฉพาะในปีนี้ ที่ไต้หวันมีอากาศหนาวเป็นพิเศษ จึงมีความปวดที่ทรมานมาก จึงสอบถามว่า ที่ประเทศไทยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้หรือไม่? ผมจึงได้บอกไปว่า ประเทศไทยเป็นฮับทางด้านการแพทย์ในแถบภูมิภาคนี้ แน่นอนว่ามีแพทย์ที่เก่งๆ เยอะมาก แต่ผมก็สงสัยว่า ทำไมในไต้หวันไม่มีแพทย์ที่เก่งทางด้านนี้เหรอ? ทำไมไม่ให้เพื่อนพาไปพบแพทย์ที่ไต้หวันละ? เขาจึงตอบผมว่า เนื่องจากอากาศของที่ไต้หวัน มีความชื้นสูง และค่อนข้างจะหนาวเย็น จึงคิดว่าน่าจะมารักษาตัวในประเทศที่มีอากาศร้อนน่าจะดีกว่า จึงทำให้ผมเข้าใจได้ว่า ทำไมจึงคิดอยากมารักษาตัวที่ประเทศไทยเราครับ
อันที่จริงโรคไขข้ออักเสบหรือโรครูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis: RA) เป็นโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะโจมตีไขข้อต่างๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้ มักจะทำให้เกิดการอักเสบ ความเจ็บปวด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ความพิการได้ จากผลของการวิจัย โรคนี้มักจะเกิดขึ้นในผู้สูงวัย แม้ว่าจะสามารถเกิดขึ้นในทุกวัย แต่ก็จะพบในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมากที่สุด
การเกิดโรครูมาตอยด์ในผู้สูงวัย มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ในวัยที่มากขึ้นจะมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น เนื่องจากการเสื่อมสภาพของข้อต่อและปัจจัยทางพันธุกรรม ที่ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) ทำงานผิดปกติ ส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการเมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป แต่บางกรณีอาจพบได้ในวัยที่น้อยกว่า หรือในวัยกลางคน โรคนี้มีผลต่อข้อต่อหลายจุด โดยเฉพาะที่มือ ข้อเท้า เข่า และข้อมือ อาการของโรครูมาตอยด์ในผู้สูงวัย มักเริ่มจากอาการบวม แดง เจ็บปวด ที่บริเวณข้อต่อ ที่มีการเคลื่อนไหวจำกัด อาการจะมักเกิดขึ้นทั้งสองข้างของร่างกาย โดยไม่คำนึงถึงว่าเป็นข้างซ้ายหรือขวา เช่น ข้อเข่า ข้อมือ หรือข้อเท้า นอกจากนี้ยังอาจมีอาการแสดงออกมาทางระบบอื่นๆ เช่น ไข้ เหงื่อออกมากในตอนกลางคืน หรือการรู้สึกไม่สบายตัวทั่วไป
อาการที่ควรระวังในผู้สูงวัย ที่อาจบ่งชี้ว่าเป็นโรครูมาตอยด์ ได้แก่ ปวดข้อและบวมร่วมกับการมีไข้ต่ำ ข้อต่อที่มีความยืดหยุ่นลดลง รู้สึกอ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่าย การเคลื่อนไหวของข้อต่อที่จำกัด อาการบวมและความร้อนที่ข้อต่อ ส่วนสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรครูมาตอยด์ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โดยปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกัน จะทำหน้าที่ในการปกป้องร่างกาย จากเชื้อโรคต่างๆ ดั่งที่ผมเคยเขียนบทความในคอลัมน์นี้ ดังนั้นในกรณีของโรครูมาตอยด์ ระบบภูมิคุ้มกันจะโจมตีเนื้อเยื่อข้อต่อ โดยไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นอันตราย และสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายได้ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรครูมาตอยด์ ก็มีอยู่หลายๆ ปัจจัย เช่นอายุ เพศ พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมเป็นต้น โดยผู้สูงวัยที่มีอายุสูงขึ้น มักจะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ดังนั้นพวกเราชาวผมเงินทั้งหลาย ควรระวังเฝ้าสังเกตตัวเองให้ดีด้วย ส่วนปัจจัยทางด้านเพศ โรครูมาตอยด์มักจะพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (รอดตัวไป) แต่แม้จะเป็นเพศชาย ก็ไม่ควรประมาทเช่นกัน ทางด้านปัจจัยจากพันธุกรรม คนที่มีประวัติครอบครัวที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรครูมาตอยด์ มักจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมากกว่าคนที่ครอบครัวไม่มีประวัติครับ ส่วนสภาพสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่คนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคที่มีความชื้น-เย็น มักจะมีผลต่อการเกิดโรคได้มากกว่าคนที่อยู่ในภูมิภาคร้อนครับ คนจีนทั่วไปจึงขนานนามโรคนี้ว่า “โรคลมชื้น”หรือ “風濕病” พฤติกรรมส่วนตัว เช่น การสูบบุหรี่จัด ก็มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้เช่นกันครับ
การวินิจฉัยโรครูมาตอยด์ของแพทย์ โดยทั่วไปแพทย์มักต้องใช้การตรวจหลายขั้นตอน ซึ่งรวมถึงการสัมภาษณ์ประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกาย การตรวจเลือด และการถ่ายภาพข้อต่อ (X-ray หรือ MRI) เพื่อให้สามารถตรวจหาสาเหตุการอักเสบและความเสียหายของข้อต่อได้ การตรวจเลือดที่ใช้บ่อย ได้แก่ การตรวจหาปริมาณของ C-Reactive Protein (CRP) และ Erythrocyte Sedimentation Rate (ESR) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้การอักเสบในร่างกาย การตรวจหาค่า Rheumatoid Factor (RF) และ Anti-Citrullinated Protein ntibodies (ACPA) ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรครูมาตอยด์ นอกจากนี้ การใช้การตรวจภาพข้อต่อช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นการเสียหายของกระดูกและข้อต่อที่เกิดจากโรคนี้ได้
การรักษาโรครูมาตอยด์ในผู้สูงวัย จะมุ่งเน้นไปที่การลดอาการอักเสบ บรรเทาอาการปวด และป้องกันการเสื่อมสภาพของข้อต่อให้ได้มากที่สุด การรักษามักจะเป็นการรักษาแบบครบวงจรซึ่งรวมถึงการใช้ยา การทำกายภาพบำบัด และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การใช้ยาแก้ปวดและลดอักเสบ เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) หรือยาพาราเซตามอล แต่บางครั้งแพทย์ก็อาจจะต้องใช้ยาสเตียรอยด์ เช่น การใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ เพื่อควบคุมอาการอักเสบ หรือบางครั้งก็อาจจะให้ยาต้านการเจริญเติบโตของโรค เช่น DMARDs (Disease-Modifying Antirheumatic Drugs) ซึ่งช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของข้อต่อ หรือให้ยาประเภท Biologic Drugs ซึ่งเป็นยากลุ่มใหม่ที่ใช้ในการ รักษาโรครูมาตอยด์โดยเฉพาะเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากมีการทำกายภาพบำบัด เพื่อช่วยให้ผู้สูงวัยสามารถรักษาการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ก็สามารถลดความเจ็บปวดจากการอักเสบได้ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อต่อ และมีการเสริมการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลา และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมโรค การรักษาน้ำหนักให้เหมาะสมยังช่วยลดแรงกดทับบนข้อต่ออีกด้วยครับ ที่สำคัญผมเชื่อว่าผู้สูงวัยที่มีอาการดังกล่าว มักจะเกิดความเครียดจากการเจ็บปวด ถ้าครอบครัวสามารถมีเวลาในการดูแลช่วยเหลือ ด้วยการนวดแบบประคบตามตำราแพทย์แผนไทยได้ นอกจากจะช่วยลดอาการเจ็บปวดได้แล้ว ยังช่วยในการบำบัดทางจิต ที่ทำให้ร่างกายและจิตใจหรือความเครียดดีขึ้นด้วยก็จะเป็นการดีนะครับ