ก่อนที่ปีเก่าค.ศ.2023 อันแสนจะวุ่นวายกำลังจากเมียนมาไป ขอต้อนรับปีใหม่ค.ศ.2024 ที่ท้าทายกำลังเคลื่อนเข้ามา วันซึ่งเป็นโอกาสอันเป็นมงคลนี้ ผมขออวยพรให้พี่ๆ เพื่อนๆ ที่ติดตามบทความนี้ทุกท่าน จงมีแต่ความสุข และสมหวังในสิ่งที่ปารถนา อันประกอบด้วยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ทรัพย์สินเงินตรามีแต่เพิ่มพูน ครอบครัวที่มีแต่ความอบอุ่นพูนสุข และกิจการงานที่ทำอยู่ จงประสพแต่ความสำเร็จสมหวังทุกประการเทอญ
วันนี้ผมจะขอนำเอาสถานการณ์ของปีที่ผ่านมาในประเทศเมียนมา มาสังเคราะห์ให้ทุกท่านอ่าน เพื่อจะได้รับทราบถึงความชอกช้ำกับสถานการณ์ที่เข้ามาสู่ประเทศเมียนมา ว่ามีความหลากหลายทุกสิ่งอย่างที่แสนสาหัสมากเพียงใด อาทิเช่น การได้รับผลพวงจากโรคร้ายโควิด-19 ที่กระหน่ำเข้ามาสู่เมียนมา ถึงแม้ว่าสภาวะดังกล่าวที่ทำให้สภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ไปทั่วโลก แต่ก็ได้ส่งผลให้ประเทศเมียนมาได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่นๆ มากมาย
ต่อมาก็เป็นผลจากการแทรกแซงของประเทศฝั่งตะวันตก ที่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยากเย็นเข็ญใจยิ่ง ต้องมาโดนซ้ำเติมเข้าไปกว่าเดิมอีก ค่าของเงินจ๊าดที่ตกแบบลงลิฟท์ จากเดิมก่อนโควิด-19 มาถึง และการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่ทำให้ค่าเงินลดลงมากกว่าสามเท่าตัว หรือค่าของเงินหายไปกว่าสามร้อยเปอร์เซนต์ นั่นหมายความว่า ทำให้ประชาชนทั่วไปที่มีเงินอยู่ในมือ มูลค่าได้หายวับไปกับตากว่าสามร้อยเปอร์เซต์ ซึ่งในช่วงที่ประเทศไทยเรา ประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำใน “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ในปีพ.ศ. 2540 ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าประเทศเมียนมาในวันนี้ครับ
ในปีที่ผ่านมา ความสงบเรียบร้อยภายในประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลเมียนมากำลังรับมือยากมาก เพราะกลุ่มต่อต้านต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพมากกว่ากลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์มาก เหตุผลเพราะกลุ่มเหล่านี้ เป็นกลุ่มปัญญาชน ที่มีความรู้สูงกว่าดีกว่ากลุ่มชนชาติพันธุ์มาก ดังนั้นเขาเหล่านั้นสามารถใช้ความรู้ความสามารถ มาต่อสู้กับรัฐบาลเมียนมา ด้วยภูมิปัญญาที่ดีกว่าประชาชนทั่วไป
เราจึงเห็นยุทธวิธีที่เขานำออกมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการโอบล้อมรัฐบาล ด้วยการขอความช่วยเหลือจากนานาประเทศ บนเวทีระดับโลก การใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร มาใช้กับสงครามจิตวิทยาที่ได้ผลอย่างดีเยี่ยม แม้แต่สื่อมวลชนหรือปัญญาชนในประเทศเพื่อนบ้าน ยังต้องทึ่ง อึ่ง เสียว เลยละครับ ในขณะที่การใช้แนวรบที่ยึดเอามวลชนอย่างเป็นระบบ ก็เห็นได้ว่าจะเป็นผลสำเร็จไม่น้อยเลยครับ
ด้านกองกำลังชนชาติพันธุ์ ที่มีบางกลุ่มรวมตัวกันอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ทางฝั่งชายแดนฝั่งเหนือของประเทศเมียนมา ออกมาผสมโรงในการปั่นกระแส แม้จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจให้เกิดก็ตาม ก็สามารถทำให้รัฐบาลต้องเสียกำลังและแนวร่วมไปไม่น้อย แม้จะใช้เวลาและพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยขุมกำลังและสรรพาวุธที่เข้มแข็งและเหนือกว่าก็ตาม ก็คงต้องมีสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝั่ง อุปมาอุปไมยเหมือนการเล่นสงกรานต์สาดน้ำ ย่อมจะต้องเปียกน้ำด้วยกันทั้งสองฝ่ายนั่นเองครับ
ด้านการลงทุนในประเทศเมียนมา ไม่เพียงแต่นักลงทุนภายในประเทศเท่านั้นที่เจ็บตัว พวกนักลงทุนจากต่างประเทศ ก็เจ็บตัวกันระนาวไปตามๆ กัน ลงทุนใหญ่เจ็บใหญ่ ลงทุนน้อยเจ็บน้อย นี่ก็เป็นสัจธรรมที่นักลงทุนทั่วไปได้เตรียมตัวเตรียมใจกันไว้แล้วเช่นกัน ดังนั้นปีที่ผ่านมา สำหรับนักลงทุนจึงเป็นที่มีแต่ช้ำเลือดช้ำหนองกันทั่วหน้า นอกเสียจากว่ามีการเตรียมการไว้ล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี แต่ผมคิดว่านั่นเป็นเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้นครับที่ไม่เจ็บตัว
ด้านการค้าระหว่างประเทศของไทย-เมียนมา ในปีที่ผ่านมาก็เปรียบเสมือนเผาหลอก ปีนี้ต้องดูว่าจะเผาจริงกันหรือเปล่า? เพราะผลพวงจากสภาวะเศรษฐกิจของเมียนมาที่เงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศแทบจะไม่เหลือหรอ ค่าเงินก็ตกอย่างระเนระนาด หรือกระแสเงินสดในประเทศ ก็มีไม่เพียงพอ แม้รัฐบาลเมียนมาจะพยายามออกมาแก้ไข ด้วยวิธีการออกนโยบายต่างๆ มากมายหลายรูปแบบ หรือบางครั้งออกนโยบายมาได้ไม่กี่วัน ก็ต้องรีบกลับหลังหัน เปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่อีกแล้ว จนเราติดตามกันแทบไม่ทัน
อีกทั้งปัจจุบันนี้ การค้าเกือบจะแปด-เก้าสิบเปอร์เซนต์ เป็นการค้าชายแดนแทบทั้งสิ้น เพราะทางการเมียนมาได้ออกนโยบายบาท-จ๊าด หรือที่เรียกว่า “นโยบาย Loco Currency” ซึ่งจะทำได้เฉพาะการค้าชายแดนเท่านั้น แต่เมื่อกลุ่มกองกำลังฝ่ายต่อต้าน เขารู้ว่าทำอย่างไรที่จะตัดวงจรด้านการเงินของรัฐบาลทหารได้ เขาก็จะสับเปลี่ยนหน้ากันออกมาทำการเสมอ เช่นในปีที่ผ่านมา จะมีการระดมพละกำลังในการโจมตีธนาคารพาณิชย์ อีกทั้งการโจมตีด้านชายแดนเมียวดี-เกาะกะเร็ก ที่อยู่ใกล้ๆ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเราก็จะเห็นภาพที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ มากมาย ผมจึงเชื่อว่าการค้าชายแดนในปีหน้า ก็ยังคงเป็นปีที่ยากลำบากอยู่หนึ่งปีแน่ๆ ครับ
ในปีใหม่ที่มาถึงนี้ ส่วนตัวผมก็ยังหวังว่า ประเทศเมียนมาจะมีข่าวดีเกิดขึ้นมา ให้ได้พอชื่นใจบ้างนะครับ ไม่ต้องมากก็ได้ เอาแค่เหมือนเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมปลายปีที่ผ่านมา ที่มีการเซ็นสัญญาแนบท้ายเพิ่มเติม ในการร่วมพัฒนา “ท่าเรือน้ำลึกที่จ้าวเพี่ยว Kyaukphyu Deep Seaport SEZ” ที่รัฐบาลเมียนมาได้เซ็นไปกับบริษัท CITIC Myanmar Port Investment Limited ซึ่งเป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจของจีน นั่นก็เป็นนิมิตรหมายอันดีมากๆ แล้วครับ