JKN สูตรสำเร็จ...หุ้นดูดเงิน

11 ม.ค. 2566 | 06:30 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ม.ค. 2566 | 13:54 น.
3.5 k

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

เฮ้อ! สูตรสำเร็จของบริษัทจน...แต่เจ้าของรวยมันมีอย่างนี้นี่เอง บอกเลยว่า เจ๊เมาธ์รู้สึกแปลกๆ กับ JKN ตั้งแต่มีข้อมูลว่า “แอน จักรพงษ์” ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ทยอยขายหุ้นแบบบิ๊กล็อตออกมาเรื่อย และขายหนักที่สุดก็ภายหลังการแถลงข่าวการซื้อกิจการของ Miss Universe Organization (MUO) ซึ่งเป็นผู้จัดการประกวดนางงามจักรวาล หรือ Miss Universe ในวันที่ 26 ตุลาคม
 

โดยวันนั้น “แอน” ระบุชัดเจนว่า “ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะการเข้าซื้อกิจการ MUO ครั้งนี้มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินกิจการ และไม่จำเป็นต้องกู้เงินแต่อย่างใด” ซึ่งความชัดเจนนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นของ JKN ปรับขึ้นแรง 2 วันติด จากราคาแถวๆ 3.80 บาท ถูกลากขึ้นไปปิดที่ 5.60 บาท ในวันที่ 27 ตุลาคม ซึ่งการขายหุ้นของ “แอน” ทำให้จากต้นปี 65 ที่ถือหุ้นใหญ่กว่า 42% ลงมาเหลือเพียง 25.23% ในปัจจุบัน จนทำให้เจ๊เมาธ์ อดที่จะเปรียบเทียบ JKN ว่ามีรูปแบบการทำหุ้นที่คลายกันกับ BEAUTY ไม่ได้

 

ล่าสุด การขายหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 1,019.79 ล้านหุ้น ในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 3 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาหุ้นหน้ากระดานทำให้ราคาหุ้นปรับราคาลงมาอย่างรุนแรง มันก็ชัดเจนว่า JKN กำลังเดินตามรอยของ BEAUTY จากนี้ไปก็เหลือเพียงแค่ว่าราคาหุ้นของ JKN จะต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปนานเหมือนกับที่หุ้นต้นแบบอย่าง BEAUTY ทำทางไว้ให้แล้วหรือไม่ก็เท่านั้น

 

***  เงินเพียงแค่สิบกว่าล้านบาทที่ทำให้ ALL กล้าทิ้งเครดิต ทำให้ไม่เพียงแค่เจ้าหนี้ แต่รวมไปถึงนักลงทุนทั่วไปต้องพากันงงเป็นไก่ตาแตก ว่าปล่อยไปได้อย่างไร เพราะถ้าหากนับเอาทั้งหนี้สินระยะสั้น-ระยะยาว พร้อมด้วยหุ้นกู้อีก 7 รุ่น โดยมีหุ้นกู้รอไถ่ถอนปีนี้มากถึง 4 รุ่น มูลค่า 1.2 พันล้านบาท รวมเข้าไปด้วย ก็ยิ่งทำให้มองเห็นมูลหนี้ของ ALL ว่ามีท่วมหัวอยู่มาก ...มากจนคิดไปไกลว่า จะมีปัญญาใช้หนี้ส่วนที่ยังเหลือด้วยหรือไม่

 

อย่าลืมว่าโดยปกติแล้ว การออกหุ้นกู้มักจะทำขึ้น เพื่อนำเงินที่ได้ก่อนมาใช้หนี้เก่า ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้ของ ALL ในครั้งนี้ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้การขายหุ้นกู้เพื่อหมุนเงินในอนาคตเป็นไปได้ยาก จนอาจจะถึงขั้นที่ไม่มีใครกล้าลงทุนในหุ้นกู้ของ ALL ก็เป็นได้ เจ๊เมาธ์ก็ไม่รู้ว่าเงินผิดนัดแค่สิบกว่าล้านบาท ซึ่งมีราคาพอๆ กับราคานาฬิกาของผู้บริหารบางคน จะมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในกลุ่มผู้บริหาร หรือ กลุ่มของผู้ถือหุ้นด้วยหรือไม่ แต่บอกตรงๆ มาถึงขั้นนี้แล้วเสียดายของจริงๆ

 

*** แม้ว่าจะยังปรับราคาขึ้นไปไม่ถึงราคาหุ้นเพิ่มทุนที่ 43.50 บาท แต่อย่างน้อยที่สุดสัญญาณทิศทางราคาหุ้นของ MAKRO ก็น่าจะไปต่อได้อีก ถึงแม้ว่าจะไปได้ไม่ไกล แต่อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะทำให้ใครก็ตามที่ติดดอยมาปีกว่าสามารถหลุดดอยลงไปได้
 

อย่างไรก็ตาม อย่าไปคาดหวังว่าราคาหุ้นของ MAKRO จะวิ่งไปได้ไกล เพราะผลจากการขยายธุรกิจ หรือ สามารถขายสินค้าได้มากขึ้น เนื่องจากประเด็นที่จะทำให้ MAKRO มีผลการดำเนินงานยังอยู่ในระนาบที่ดี เป็นเพราะบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนตั้งแต่ปี 64 จำนวน 9.8 พันล้านบาท มาใช้หนี้ในไตรมาสที่ 1/66 ซึ่งเมื่อหนี้ลดลง ก็จะทำให้บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับของรายได้ ให้เป็นไปตามประมาณการเดิมก็เท่านั้นเอง ส่วนอย่างอื่นตอนนี้ยังไม่มีอัพเดทอะไรเพิ่มเติม เจ๊เมาธ์จึงแจ้งมาให้ทราบโดยทั่วกัน...ทราบแล้วเปลี่ยน

 

*** แม้ว่าหุ้นในกลุ่มลีสซิ่งอย่าง MTC SAWAD และ TIDLOR จะเป็นกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบจนจากดอกเบี้ยขาขึ้น แต่หุ้นกลุ่มนี้ก็เป็นหุ้นที่เจ๊เมาธ์บอกมาตลอดเช่นกันว่า เป็นหุ้นที่น่าสนใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาหุ้นที่ถูกกระแสของดอกเบี้ยขาขึ้น กดลงมามากจนกลายเป็นราคาหุ้นที่อยู่ในจุดที่ต่ำกว่า ที่ควรจะเป็นค่อนข้างจะมาก
 

อย่างที่สองคือ การเปิดประเทศของไทยรวมไปถึงการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน จะเงินสะพัดและกระตุ้นให้เกิดความต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลดีโดยตรงกับหุ้นลีสซิ่ง และท้ายที่สุด แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจอาจจะไม่ดีขึ้นมาอย่างที่พูดถึงกัน แต่นั่นก็จะเป็นจุดที่ทำให้ความต้องการเข้าถึงแหล่งเงินสำรองมีมาขึ้นตามมาด้วยอยู่ดี

 

สรุป...เมื่อราคาหุ้นอยู่ต่ำกว่าจะที่ควรจะเป็น ในท้ายที่สุดราคาหุ้นก็ต้องกลับมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นนั่นเอง ก็แล้วแบบนี้จะไม่ให้เจ๊เมาธ์บอกว่าน่าสนใจได้อย่างไร