MORE จุดเริ่มต้นของเกม...

16 ธ.ค. 2565 | 06:15 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ธ.ค. 2565 | 13:55 น.
2.9 k

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

***แม้ว่าราคาหุ้นของ MORE จะยังวนเวียนอยู่ในวิกฤตการณ์การขายหุ้นแบบที่เรียกกันว่า “ปืนลั่น” จนเป็นเหตุให้ราคาหุ้นปรับจากเกือบ 3 บาท จนเหลือเพียงแค่ไม่กี่สตางค์ แต่ท้ายที่สุดการขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 300 ล้านหุ้น แบบ PP ให้แก่ อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ หรือ “เฮียม๊อ” ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนเดิมของ MORE ที่ราคา 0.44 บาท รวมเป็นเงิน 132 ล้านบาท ก็ได้ทำให้เจ๊เมาธ์ได้มองเห็นอะไรที่ชัดเจนมากขึ้น อย่างแรกคือ ถ้าไม่มีอุบัติเหตุที่อ้างว่า “ปืนลั่น” ที่ว่านี้เกิดขึ้น จะกลายเป็นว่า “เฮียม๊อ” อาจจะต้องจ่ายเงินไม่น้อยกว่า 800 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 300 ล้านหุ้น ดังนั้น เมื่อ “ปืนลั่น” ก็ทำให้เฮียม๊อสามารถประหยัดเงินมากกว่า 600 ล้านบาทในการเพิ่มทุนครั้งนี้  
 

ส่วนอย่างที่สองก็เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากการเพิ่มทุน เนื่องจากหลายคนที่ได้กำไรจาก “ปืนลั่น” อาจกลับเข้ามาสร้างเกมราคาหุ้นรอบใหม่กันอีกครั้ง เพราะถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะเปลี่ยน ต้นทุนของเจ้าทั้งหลายจะเปลี่ยน...แต่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนตามไปด้วย ขณะที่คนที่ซวยจากกรณี “ปืนลั่น” มีเพียงแค่โบรกเกอร์ที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนรายย่อยบางส่วนที่เข้าไปเล่นเก็งกำไรเท่านั้น  
 

ดังนั้น หลังจากนี้เป็นต้นไปก็คงจะต้องมาตามดูกันว่า ราคาหุ้นของ MORE จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางไหน เพราะเกมหุ้นแบบ “ปล้นกันกลางแดด” ชนิดที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเช่นนี้ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งก็มีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดขึ้นมาได้อีก เพียงแต่อาจจะไม่ใช่กันหุ้นตัวเดิมก็เท่านั้นเอง...น่าสนว่าหุ้นที่จะโดนแบบนี้เป็นรายต่อไป คือ หุ้นตัวไหน 
 

*** ราคาหุ้นของ PTT ยังไม่หลุดพ้นไปจากจุดที่ราคาต่ำที่สุดในรอบปี เพราะยิ่งมีการพูดถึงซอง “ผ้าป่า” ที่ภาครัฐแจกให้มามากแค่ไหน ก็ทำให้เกิดประเด็นคำถามเรื่องธรรมภิบาลและการมองเป็นประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ตามหลักการของบริษัทที่เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้นเท่านั้น ล่าสุด นอกจากซองผ้าป่าเพื่ออุ้มค่าไฟฟ้ามูลค่า 6 พันล้านบาท ก็ยังมีเรื่องของซองผ้าป่า “ตรึงราคา NGV จำนวน 2.7 พันล้านบาท” เสริมเข้ามาอีกด้วย
 

เฮ้อ...เจ๊เมาธ์อยากจะถามจริงๆ ว่าถ้าผู้รับผิดชอบเรื่องการดูแลโครงสร้างทางการเงินของประเทศยังไม่มีปัญญาหาเงินเอง จนต้องตามมาขอ ตามมาดูดไม่เลิกไม่แล้วแบบนี้ อยากถามว่าทำไมท่านไม่ลงทุนหาเงินสักก้อนมาเหมาหุ้น PTT กลับคืนไปเป็นรัฐวิสาหกิจให้มันรู้แล้วรู้รอดจะได้ทำอะไรตามใจอยากได้แบบไม่มีปัญหา ที่สำคัญ คือ ไม่ต้องมายืมจมูกคนอื่นหายใจ จนเสื่อมเสียเกียรติภูมิและความเชื่อมั่นของประเทศ ให้เป็นขี้ปากพวกฝรั่งหัวแดงแบบนี้ ใครไม่อาย...แต่เจ๊อายเจ้าค่ะ อิอิอิ
 

*** เห็นข่าวที่ STARK ล้มดีลในการเข้าเทคฯ LEONI Kabel GmbH ซึ่งเป็นบริษัทในเยอรมนี และ LEONIsche Holding Inc ซึ่งเป็นบริษัทในรัฐเดลาแวร์ทั้ง 100% คิดเป็นมูลค่ามากกว่าสองหมื่นล้านบาทแล้ว ก็น่าจะมองกันได้หลายมมุมมอง อย่างหนึ่ง คือ การล้มดีลนี้จะทำให้ STARK ต้องสูญเสียโอกาสในการรุกเข้าไปสู่ธุรกิจ EV ซึ่งทาง LEONI ถือว่าเป็นรายใหญ่รวมถึงอาจจะสูญเสียรายได้ ที่เคยคิดว่าจะสามารถบุ๊คเข้ามาเลยแบบด่วนๆ ในไตรมาสที่ 4/65 
 

อย่างไรก็ตาม....ถ้ามองกลับไปอีกด้านก็จะเห็นว่า การที่ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่มันก็น่าจะดีอยู่ไม่น้อย อย่าลืมว่าถ้าหากธุรกิจของ LEONI ดีจริง แล้วจะมาเร่ขายบริษัทในราคาถูกไปทำไม ขณะเดียวกันด้วยเงินจำนวนที่มากถึงสองหมื่นล้านบาทจำนวนนี้ STARK ยังสามารถนำไปใช้ลงทุนในดีลดีๆ ได้อีกมาก หรือหากคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ก็แค่นำเงินจำนวนนี้ ไปใช้หนี้สถาบันการเงิน เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ยให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ก็ถือว่าเป็นการลดต้นทุนไปในตัว จะทำอะไรก็ได้...ก็มีเงินแล้วนี่นา “มีเงินนับเป็นน้อง...มีทองนับเป็นพี่” มันดีอย่างนี้นี่เอง (ฮา)  
 

*** ในบรรดาหุ้นเปิดเมืองที่ไม่นับรวมเอา AOT เข้าไปด้วยพราะราคาหุ้นปรับขึ้นมามากแล้ว ก็ยังมี AWC CRC ERW MINT และหุ้นเปิดเมืองตัวอื่นอีกหลายตัวมีโอกาสได้ไปต่อ เพราะแม้ว่าภาวะของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะที่ยังชะลอตัว แต่เมื่อเข้าไปดูรายละเอียดผลการดำเนินงานในช่วงหลังโควิดที่ผ่านมา จะพบว่า หลายบริษัทที่ว่าเริ่มมีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ แน่นอนเจ๊เมาธ์ไม่คาดหวังว่าราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ จะขยับตัวขึ้นมาเร็วหรือแรง แต่สิ่งที่เจ๊เมาธ์คาดหวัง คือการมี “หุ้นหลุมหลบภัย” ที่ถึงแม้ว่าจะไม่เร็วไม่แรง แต่ก็จะไม่เสี่ยงที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลง เพราะหุ้นเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วทั้งนั้น ประมาณซื้อแล้วรอ...พอตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นในช่วงต้นปีหน้าแล้วจะขายเอาเงินมาลงทุนกับหุ้นตัวอื่น หรือ จะถือไปต่อก็ไม่เดือดร้อนแต่อย่างใด