ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงยืนหยัดใช้นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือสำคัญในการกดดันคู่ค้าระหว่างประเทศ โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทรัมป์ประกาศว่าภาษีศุลกากร 25% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะมีผลบังคับใช้ในวันอังคารนี้ พร้อมกันนั้นยังเพิ่มภาษีสินค้าจีนอีก 10% หลังจากเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ได้เก็บภาษีจีนไปแล้ว 10% โดยให้เหตุผลว่า ทั้งสามประเทศยังไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจังในการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าเฟนทานิล ยาเสพติดอันตรายที่กำลังแพร่ระบาดในสหรัฐฯ
การประกาศขึ้นภาษีครั้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน ซึ่งกำลังจะเปิดประชุมรัฐสภาประจำปีในวันพุธที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ปักกิ่งต้องวางแผนเศรษฐกิจหลักของปี 2025 อย่างไรก็ตาม การเผชิญแรงกดดันจากวอชิงตันในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ อาจทำให้จีนต้องเร่งหามาตรการตอบโต้
ทรัมป์ให้เหตุผลว่า รัฐบาลของเขาไม่สามารถยอมให้ปัญหายาเสพติดเฟนทานิล ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของการเสียชีวิตจากสารโอปิออยด์ในสหรัฐฯ แพร่ระบาดได้อีกต่อไป จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ในปี 2023 มีประชาชนอเมริกันเสียชีวิตจากโอปิออยด์สังเคราะห์ถึง 72,776 ราย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเฟนทานิล
แม้ยอดการยึดยาเสพติดของเจ้าหน้าที่ศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ในเดือนมกราคม 2025 จะลดลง 50.5% จากปีก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 991 ปอนด์ แต่ทำเนียบขาวยังคงมองว่า ปริมาณที่ยึดได้นั้นเพียงพอที่จะคร่าชีวิตชาวอเมริกันหลายล้านคน
การเพิ่มภาษีจีนของทรัมป์ในครั้งนี้สะท้อนยุทธศาสตร์เดิมที่เขาเคยใช้ในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในสมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยเป้าหมายคือการสร้างแรงกดดันให้เกิดการเจรจาทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจ
นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังออกบันทึก "America First Investment Memorandum" ที่กล่าวหาจีนว่าใช้การลงทุนในบริษัทอเมริกันเป็นเครื่องมือขโมยเทคโนโลยีขั้นสูง และนำไปพัฒนาทางการทหาร เอกสารฉบับนี้ระบุว่าบริษัทจีนมีการเข้าถึง "อัญมณีล้ำค่า" ของเทคโนโลยีสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งแร่ธาตุสำคัญ ท่าเรือ การขนส่งสินค้า และภาคเกษตรกรรม
ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ กำลังพิจารณายกเลิกโครงสร้าง Variable Interest Entity (VIE) ซึ่งเป็นช่องทางให้บริษัทจีนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ หากถูกปิดช่องทางนี้ คาดว่าจะส่งผลให้มูลค่าหุ้นของบริษัทจีนหายไปจากตลาดสหรัฐฯ ถึง 848 พันล้านดอลลาร์
ในช่วงที่ผ่านมาจีนได้ออกมาตรการภาษีโต้กลับโดยเก็บภาษี 10% กับพลังงานและอุปกรณ์เกษตรจากสหรัฐฯ แต่การเผชิญหน้าครั้งนี้อาจทำให้ปักกิ่งต้องเพิ่มแรงกดดันมากขึ้น โดยเฉพาะหากอัตราภาษีของทรัมป์ปรับขึ้นถึง 20% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน
ขณะที่สภาพเศรษฐกิจของจีนเผชิญกับปัญหาวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์และอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ หากสหรัฐฯ กดดันด้วยมาตรการภาษีเพิ่มเติม อาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยากลำบากมากขึ้น
การขึ้นภาษีอาจส่งผลต่อราคาสินค้าในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาวะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงและอัตราดอกเบี้ยยังคงสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยืนยันว่า การขึ้นภาษีในสมัยที่แล้วสามารถสร้างรายได้หลายแสนล้านดอลลาร์ให้สหรัฐฯ โดยไม่มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อ
"ผมไม่คิดว่ามันเกี่ยวกับเงินเฟ้อ มันเกี่ยวกับความเป็นธรรม และเราจะทำให้มันเป็นธรรมสำหรับอเมริกา" ทรัมป์กล่าว
ในส่วนของแคนาดาและเม็กซิโก ทั้งสองประเทศได้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าพบตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาทางเลี่ยงภาษีใหม่ที่กำลังจะบังคับใช้ โดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจเม็กซิโก มาร์เซโล เอบราร์ด ได้เข้าพบ เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และมีกำหนดพบกับ ฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์ในวันศุกร์
รองรัฐมนตรีเศรษฐกิจเม็กซิโก วิดาล เยเรนาส ระบุว่า เม็กซิโกอาจพิจารณามาตรการทางการค้าเพิ่มเติมเพื่อลดการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเม็กซิโกต้องการรักษาสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ มากกว่าจีน
ขณะที่แคนาดา รัฐมนตรีความมั่นคงสาธารณะ เดวิด แมคกินตี กล่าวว่า มาตรการรักษาความปลอดภัยชายแดนที่เข้มงวดขึ้นควรเป็นเหตุผลที่เพียงพอให้ทรัมป์ยอมลดแรงกดดัน
การตัดสินใจขึ้นภาษีของทรัมป์อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปะทะครั้งใหม่ในเวทีเศรษฐกิจโลก ไม่เพียงแต่จีน แคนาดา และเม็กซิโกเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่ยังรวมถึงบริษัทอเมริกันและผู้บริโภคที่อาจต้องเผชิญราคาสินค้าที่สูงขึ้น
ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่า หากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในปี 2025 นโยบาย "America First" อาจรุนแรงยิ่งขึ้น และโลกอาจต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ไม่อาจคาดเดาได้