ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา กำลังเดินบนเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องของสิทธิ LGBTQ+ กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ขณะที่ประเทศไทยได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับรองสมรสเท่าเทียม ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและความก้าวหน้าของภูมิภาค สหรัฐอเมริกาภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ กลับเดินในทิศทางตรงข้าม ด้วยมาตรการที่สร้างแรงกดดันต่อชุมชน LGBTQ+
เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ประเทศไทยได้ประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ โดยมีการแก้ไขถ้อยคำในกฎหมายให้ครอบคลุมและยอมรับความหลากหลายทางเพศ เช่น การเปลี่ยนคำว่า "สามี-ภรรยา" เป็น "คู่สมรส" และเพิ่มสิทธิเท่าเทียมในการจัดการทรัพย์สิน การรับบุตรบุญธรรม และการใช้นามสกุลร่วมกัน
ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการพัฒนาในด้านกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของความตั้งใจในสังคมไทยที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดทางวัฒนธรรมที่เคยมี การเฉลิมฉลองในวันแรกของการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีคู่รักกว่า 1,448 คู่เข้าร่วม และองค์กรต่างๆ กำลังเตรียมส่งข้อมูลไปยัง Guinness World Records เพื่อบันทึกประเทศไทยในฐานะเจ้าของสถิติสมรสเพศเดียวกันในวันเดียวที่มากที่สุด
การประกาศใช้กฎหมายนี้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่บังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม และเป็นประเทศที่สามในเอเชีย (รองจากไต้หวันและเนปาล) การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับชุมชน LGBTQ+ และเปิดโอกาสในการส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ด้านตัวแทนจากกลุ่ม LGBTQ+ เช่น Bangkok Pride ระบุว่านี่เป็นเพียงก้าวแรกในการสร้างสังคมที่ยอมรับความหลากหลายอย่างแท้จริง แม้ว่ากฎหมายจะรับรองสิทธิที่สำคัญ เช่น การรับบุตรบุญธรรม การจัดการทรัพย์สินร่วม และสิทธิในการรับมรดก แต่ยังคงมีความท้าทายในการนิยาม "ครอบครัว" ในกฎหมายไทย
ในขณะที่อีกฟากโลก สหรัฐอเมริกา กลับเผชิญกับความท้าทายด้านสิทธิและเสรีภาพของกลุ่ม LGBTQ+ ภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการลดทอนสิทธิของชุมชน LGBTQ+ หนึ่งในมาตรการที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือการประกาศรับรองเพียงสองเพศชายและหญิงในระดับรัฐบาลกลาง ส่งผลให้การยอมรับกลุ่มคนข้ามเพศและไม่ระบุเพศลดบทบาทลง
แนวคิดของทรัมป์ที่ส่งผลต่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ ไม่ใช่เรื่องใหม่ การบริหารงานของทรัมป์ในอดีตได้แสดงให้เห็นถึงการลดสิทธิ เช่น การห้ามทหารข้ามเพศเข้ารับราชการ การตัดงบสนับสนุนองค์กรที่ทำงานเพื่อชุมชน LGBTQ+ และการพยายามลดทอนความสำคัญของการศึกษาเรื่องความหลากหลายทางเพศในโรงเรียน ตั้งแต่คำสั่งบริหารที่ยกเลิกการยอมรับเพศนอกเหนือจากชายและหญิงในระดับรัฐบาลกลาง ไปจนถึงการห้ามการดูแลสุขภาพที่ยืนยันเพศสำหรับเด็กข้ามเพศ
รวมถึงการปลดสิทธิคุ้มครองใน Title IX ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของนักเรียน LGBTQ+ ทั่วประเทศ ทรัมป์ยังได้แต่งตั้งบุคคลที่มีท่าทีต่อต้านชุมชน LGBTQ+ เข้าสู่ตำแหน่งสำคัญในฝ่ายบริหารและตุลาการ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในนโยบายอย่างกว้างขวาง เช่น การแบนทหารข้ามเพศจากกองทัพ และการจำกัดการใช้ทรัพยากรของรัฐในการสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ
สำหรับชุมชน LGBTQ+ ในสหรัฐฯ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ยังสร้างความหวาดกลัวและความไม่มั่นคง หลายครอบครัว LGBTQ+ ต้องเร่งจัดการเอกสารทางกฎหมาย เช่น การรับรองสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร หรือการเปลี่ยนข้อมูลในเอกสารสำคัญ เพื่อป้องกันการถูกลิดรอนสิทธิในอนาคต
นอกจากนี้ นโยบายที่ห้ามเด็กข้ามเพศจากการใช้ห้องน้ำหรือเข้าร่วมกีฬาที่ตรงกับเพศสภาพยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพจิตและการศึกษา งานวิจัยจาก CDC ระบุว่า 41% ของนักเรียน LGBTQ+ ในสหรัฐฯ เคยคิดฆ่าตัวตายจากแรงกดดันทางสังคมและนโยบายที่ไม่สนับสนุน
การย้อนกลับของนโยบายในสหรัฐฯ สะท้อนผ่านการสั่งห้ามการยอมรับเพศทางเลือกในเอกสารราชการ และการจำกัดสิทธิการพูดคุยเรื่องเพศและความหลากหลายในโรงเรียน กฎหมายระดับรัฐหลายฉบับยังพยายามลิดรอนสิทธิเด็กข้ามเพศ เช่น การห้ามใช้ห้องน้ำที่ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพจิตและโอกาสทางการศึกษาของพวกเขา
สิ่งที่ชัดเจนคือ ทรัมป์มุ่งเน้นการปรับนโยบายเกี่ยวกับ LGBTQ+ ในสังคมอเมริกัน โดยย้อนกลับบางมาตรการที่เคยได้รับการสนับสนุนในยุคของไบเดน ตั้งแต่การปรับลดงบประมาณของโครงการส่งเสริมความเท่าเทียม ไปจนถึงการสนับสนุนการสอบสวนบริษัทเอกชนที่ยังคงดำเนินโครงการ DEI (Diversity, Equity, Inclusion)
แม้สถานการณ์ในสหรัฐฯ จะดูท้าทาย แต่นักสิทธิมนุษยชนยังคงเดินหน้าต่อสู้ โดยมีองค์กรที่พร้อมยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของกลุ่ม LGBTQ+ และสนับสนุนชุมชนให้เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย
เมื่อมองกลับมายังประเทศไทย การยอมรับสมรสเท่าเทียมไม่ได้ส่งผลเพียงแค่ด้านสิทธิ แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การสร้างชื่อเสียงในฐานะ LGBTQ+ Global Destination ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มนักเดินทาง LGBTQ+ ที่มีกำลังซื้อสูง
แม้ว่าทั้งสองประเทศจะดูเหมือนอยู่ในโลกคู่ขนานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นว่าความเท่าเทียมทางเพศยังคงเป็นหัวข้อสำคัญที่ต้องได้รับความสนใจจากนานาชาติ
การเปลี่ยนแปลงในทั้งสองประเทศเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความสำคัญของการต่อสู้เพื่อสิทธิ ความหลากหลาย และการยอมรับในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองในกรุงเทพฯ หรือการชุมนุมในอเมริกา ทุกเสียงและทุกการกระทำมีพลังที่จะขับเคลื่อนโลกไปสู่ความเท่าเทียมอย่างแท้จริง