รอยเตอร์รายงานว่า อินโดนีเซียกำลังได้รับแรงหนุนสำคัญจากการลงทุนของจีน หลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน โรซาน โรสลานี เดินทางเยือนเมืองหางโจว ฉูโจว และปักกิ่งระหว่างวันที่ 18-20 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยกระทรวงการลงทุนอินโดนีเซียเปิดเผยว่า บริษัทจีนหลายแห่งได้แสดงความสนใจลงทุนในโครงการใหม่ๆ มูลค่ารวมกว่า 7.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.7 แสนล้านบาท
การลงทุนครั้งนี้มุ่งเน้นในอุตสาหกรรมผลิตซิลิกอน โพลีซิลิกอน แบตเตอรี่ และส่วนประกอบสำคัญอื่นๆ รวมถึงโรงไฟฟ้าขนาด 2 กิกะวัตต์เพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ โดยโครงการดังกล่าวนำโดยฮ่องซือ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Hongshi Holding Group) ด้วยงบประมาณลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ นับเป็นอีกก้าวสำคัญในความพยายามของอินโดนีเซียที่จะยกระดับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
ขณะเดียวกัน บริษัท ไชน่า จูชิ (China Jushi Co) ผู้ผลิตไฟเบอร์กลาสระดับโลกซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจของ เจินชือ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ได้ประกาศแผนลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ในอุตสาหกรรมไฟเบอร์กลาส ส่วนบริษัท ว่านไค นิว แมททีเรียล (Wankai New Materials) เตรียมลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอีก 1 พันล้านดอลลาร์ผ่านการดำเนินงานในสามระยะ
โรซานยังเปิดเผยว่า ตนได้หารือกับบริษัท หัวโย่ว โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Huayou Holding Group) ซึ่งเป็นผู้ผลิตนิกเกิลรายใหญ่ในภูมิภาค เพื่อขอให้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในอินโดนีเซีย โดยบริษัทได้ตอบตกลง และรัฐบาลอินโดนีเซียเตรียมมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนโครงการนี้
การลงทุนเหล่านี้คาดว่าจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในด้านการสร้างงาน การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ และการเพิ่มขีดความสามารถในภาคอุตสาหกรรม
นอกจากโครงการข้างต้น โรซานยังได้พบปะกับบริษัทยานยนต์ จีลี่ ออโตโมบิล โฮลดิ้งส์ (Geely Automobile Holdings) และบริษัทจีนอื่น ๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในอนาคต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของอินโดนีเซียในการดึงดูดการลงทุนจากจีน อย่างไรก็ตาม แม้แผนการลงทุนจะได้รับการประกาศอย่างชัดเจน แต่บริษัทที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม
การลงทุนครั้งใหญ่จากจีนไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ แต่ยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงการผสานพลังระหว่างเศรษฐกิจเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีน
อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ กำลังใช้ข้อได้เปรียบนี้ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาว ด้วยการพุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด
นอกจากนี้ การจัดตั้งโรงงานผลิตซิลิกอนและโพลีซิลิกอน ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่ จะทำให้อินโดนีเซียกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค พร้อมทั้งตอบสนองความต้องการในตลาดโลกที่กำลังเติบโต
ในขณะเดียวกัน การสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 2 กิกะวัตต์เพื่อสนับสนุนนิคมอุตสาหกรรมใหม่ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของอินโดนีเซียในการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ทันสมัยเพื่อรองรับการลงทุนขนาดใหญ่