โดย Generative AI กลายเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางในปี 2024 และมีการคาดการณ์ว่าความนิยมนี้จะขยายตัวต่อเนื่องในปี 2025 แต่สิ่งที่ตามมาคือผลกระทบด้านทรัพยากรพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่หลายคนอาจมองข้ามตัวอย่างเช่น การถามตอบด้วย Generative AI แต่ละครั้งต้องใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 50 วัตต์ชั่วโมง เทียบเท่าการชาร์จโทรศัพท์มือถือเต็ม 3-4 ครั้ง และการรักษาอุณหภูมิของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ยังต้องใช้น้ำสะอาดที่ระเหยไปในอากาศถึง 6 ช้อนโต๊ะ
สิ่งเหล่านี้อาจดูเล็กน้อยในมุมมองของผู้ใช้ทั่วไป แต่เมื่อคำนึงถึงจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นมหาศาล เช่น ChatGPT ที่มีผู้ใช้งานกว่า 300 ล้านคนต่อสัปดาห์ ผลกระทบนี้ย่อมทวีคูณ
การบริหารจัดการพลังงานของศูนย์ข้อมูลกลายเป็นประเด็นสำคัญ ขณะที่พลังงานสะอาด เช่น พลังงานนิวเคลียร์และพลังงานหมุนเวียน ถูกมองว่าเป็นทางออกที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานในวงกว้างเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
ในเดือนธันวาคม 2024 Google ได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการพัฒนา Quantum Chip ที่สามารถประมวลผลงานที่ซับซ้อนได้ในเวลาเพียง 5 นาที ขณะที่ Supercomputer ในปัจจุบันต้องใช้เวลาหลายพันล้านปี
แม้ว่าการพัฒนา Quantum Computing ในปัจจุบันจะยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ได้สร้างความหวังใหม่ในหลายด้าน เช่น การค้นพบวัสดุพลังงานแห่งอนาคต การพัฒนาวัสดุใหม่ และการช่วยให้ AI สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ Quantum Computing สามารถนำ AI เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ Quantum Mechanics เช่น การอ่านค่าผลลัพธ์ที่ผิดพลาด และการ
สร้างอะกอริทึม (Algorithm) ที่ซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ Quantum Computing ยังช่วยให้การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่มหาศาลทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้มนุษยชาติสามารถสำรวจขอบเขตใหม่ของเทคโนโลยี
AIS คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยีสำคัญที่โลกจะเผชิญในปี 2025-2027 โดยประกอบด้วย
1. The Need of the Clean Edge โดย AI application มีแนวโน้มที่จะใช้พลังงานมากขึ้น ทำให้การรวมศูนย์ของศูนย์ข้อมูลไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้อีกต่อไป การกระจายศูนย์ข้อมูลผ่าน 5G Multi-access Edge Computing (5G MEC) กลายเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการประท้วงที่เกิดจากการเบียดบังทรัพยากร เช่น น้ำสะอาด และพลังงาน
การลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น พลังงานหมุนเวียนและพลังงานนิวเคลียร์ จะเป็นทางออกที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมว่า AI สามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
2. Good Data Starving AI โดย AI ต้องการข้อมูลที่มีคุณภาพสูงเพื่อลดปัญหา hallucination ที่เกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลผิดพลาด การเติบโตของอุปกรณ์ IoT ซึ่งคาดว่าจะมีถึง 75,000 ล้านชิ้นภายในสิ้นปี 2025 จะเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนา AI ในอนาคต
อุปกรณ์ที่มีการประมวลผลบนตัวเครื่อง (on-device computing) เช่น Apple Vision Pro และ Small Language Model (SLM) จะช่วยลดการพึ่งพาการเชื่อมต่อ cloud ขนาดใหญ่ และเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูลในระดับที่ใกล้ผู้ใช้มากขึ้น
3. Quasi Open Metaverse ถึงแม้ว่าโลกเสมือน (Virtual Reality) จะยังเผชิญความท้าทาย แต่การพัฒนาเทคโนโลยี Augmented reality (AR) ที่เสริมประสบการณ์การใช้งานในโลกจริงจะได้รับความนิยมมากขึ้น เทคโนโลยี Blockchain จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูลใน Metaverse เพื่อตอบสนองความกังวลด้านความปลอดภัย
4. I Believe We Did โดยการมาของ Agentic AI ซึ่งเป็น AI ขั้นสูงที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในหลายด้าน เป็นสัญญาณว่าประสิทธิภาพของเทคโนโลยีกำลังก้าวสู่จุดที่ไม่มีวันหวนกลับ (Point of No Return) การแข่งขันในตลาด AI จะเข้มข้นขึ้น และองค์กรที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันจะประสบปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่า AI จะสามารถทำงานได้หลากหลาย แต่มนุษย์ยังคงมีจุดแข็งที่ไม่อาจถูกแทนที่ได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การให้คุณค่าในนวัตกรรม และการปฏิสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและความเป็นมนุษย์อย่างสมดุล จะช่วยให้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่สร้างสรรค์มากกว่าจะเป็นภัยต่อสังคม
ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกเทคโนโลยี การพัฒนา AI และ Quantum Computing จะนำโลกเข้าสู่ยุคใหม่ที่ทุกคนต้องปรับตัวและเตรียมพร้อม การใช้งานเทคโนโลยีด้วยความรับผิดชอบและจริยธรรมคือหัวใจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเท่าเทียม