พ.อ.สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2567 ที่ผ่านมา NT ได้เสนอแผนธุรกิจปี 2567 เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ คนร. เห็นชอบ ภายหลังจาก คนร.ขอให้ NT นำเสนอแผนเพิ่มเติม 7 ข้อไปจัดทำรายละเอียดและแผนรายได้เพื่อนำมาเสนออีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตามผลประกอบการปี 2566 ยังไม่เสร็จเรียบร้อย แต่คาดว่าจะมีผลประกอบการขาดทุน จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะมีกำไรประมาณ 100-200 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น สัญญาจากพันธมิตรที่ต้องชำระ,ค่าใช้จ่ายในการย้ายหน่วยงานในองค์กร รวมถึงคดีที่อาจจะต้องจ่ายประมาณ 100 ล้านบาท บริษัทจึงตัดสินใจเพิ่มเงินเดือนให้พนักงาน 5% จากเดิมที่มีการเพิ่มประมาณ 6.5%
สำหรับแผนในการพัฒนาพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ นอกจากแผนการพัฒนาพื้นที่ให้เช่าแล้ว บริษัทยังมีแผนพัฒนาที่ดิน 2 แห่ง จาก 5-6 แห่ง ในกรุงเทพฯและปริมณฑล คือ NT คลองเตย พื้นที่จำนวน 4 ไร่ และ NT งามวงศ์วาน พื้นที่ 70 ไร่ ในการพัฒนาเป็นดาต้า เซ็นเตอร์ ร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้บริการคลาวด์ ซึ่งขณะนี้มีบริษัทต่างชาติสนใจอยู่ 4-5 บริษัท เนื่องจากดาต้า เซ็นเตอร์ 2 แห่ง ของเอ็นที ทั้งที่ บางรัก และ นนทบุรี ใกล้เต็มแล้ว จะใช้ได้อีกเพียง 2 ปี ขณะที่การสร้างดาต้า เซ็นเตอร์แห่งใหม่ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปี 8 เดือน ดังนั้นจึงต้องเร่งหาข้อสรุป เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนประมาณ 500-1,000 ตู้แร็ค
นอกจากนี้ พ.อ.สรรพชัยย์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า คนร.เห็นว่าตลาดคลาวด์อัตราการเติบโตมากกว่า 10 % สูงสุดอยู่ที่ 20% ได้อย่างแน่นอน เพราะสิงคโปร์หยุดการเติบโตแล้ว การลงทุนจึงตรงไปที่ประเทศมาเลเซียด้วยสิทธิประโยชน์ภาครัฐที่มากกว่า เช่น ค่าไฟที่ถูกกว่าประเทศไทย 2 เท่า ,การให้ที่ดินฟรีในการสร้าง เพราะเห็นว่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจตามมาอย่างอัตโนมัติ ทั้ง ที่พัก ตลาด โรงพยาบาล ตลอดจนห้างสรรพสินค้า ดังนั้นเอ็นทีต้องประสานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในการนำเสนอรัฐบาลออกสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดการลงทุนและเอ็นทีเองก็จะหาลูกค้าบริษัทเอกชนเพิ่มขึ้น
เมื่อ NT เป็นผู้ให้บริการคลาวด์ภาครัฐ สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เอไอ และ บิ๊ก ดาต้า ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านน้ำ เกษตรกรรม เอ็นทีจะต้องเดินหน้าลงนามความร่วมมือกับทุกหน่วยงานเพื่อให้เกิดการแชร์ข้อมูล และเกิดประโยชน์กับสตาร์ทอัพในการนำไปพัฒนาสินค้าและบริการในตลาด คาดว่าภายใน 2 ปี ธุรกิจบิ๊ก ดาต้า จะสามารถเกิดเป็นธุรกิจได้ โดยจุดแข็งของเอ็นทีคือ การเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเข้ม มั่นใจได้ว่าเราคือโอเปอเรเตอร์ที่เก็บข้อมูลได้ปลอดภัยมากที่สุด ที่ผ่านมามักจะพบว่าโอเปอเรเตอร์ที่ข้อมูลรั่วบ่อยครั้งคือเอกชน
ส่วนแผนการตั้งบริษัทลูกร่วมกับพันธมิตร มั่นใจว่าปีนี้จะมีประมาณ 2-3 บริษัท โดยแนวคิดคือ บริษัทที่ปกติต้องจ้างบริษัทนอกมาดูแลอยู่แล้ว เปลี่ยนเป็นตั้งบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรที่สนใจ เพื่อรับทั้งงานในบริษัทแม่และสามารถรับงานบริษัทอื่นๆได้ด้วย อาทิ บริษัทรักษาความปลอดภัย แม่บ้าน ดูแลสวน และบริษัทไอที เป็นต้น
พ.อ.สรรพชัยย์ ธุรกิจโมบายล์ ถัดจากนี้ให้ความสำคัญบริการรูปแบบ Machine To Machine (M2M) และใช้คลื่น 700 MHz ในการให้บริการ IoT โดยจะเน้นโครงการภาครัฐ ขณะที่ การพัฒนาบริการ Neutral Last Mile เอ็นทีจะเน้นการให้บริการสายไฟเบอร์สู่ครัวเรือนแบบ Single Last Mile ใช้การลากสายเข้าบ้านร่วมกันกับทุกโอเปอเรเตอร์เพื่อป้องกันปัญหาสายรุงรังและลดต้นทุนในการพาดสาย โดยจะเริ่มได้ทันทีในที่อยู่อาศัยเกิดใหม่ ขณะที่เรื่องท่อร้อยสายลงดินนั้น ยังไม่สามารถทำได้เต็มที่เพราะติดเรื่องงบประมาณและต้องหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
แผนสุดท้ายคือการหาพันธมิตรในการให้บริการบรอดแบนด์ ต้องยอมรับว่าบรอดแบนด์เป็นธุรกิจที่ขาดทุนมาโดยตลอด ประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ที่แม้ว่าเอ็นทีจะมีความสามารถในการให้บริการ 2,400 กิโลเมตรท่อ มีพนักงานให้บริการกว่า 2,000-3,000 คน แต่ก็ไม่สามารถแข่งขันด้านการตลาดกับเอกชนได้ ทั้งเรื่องราคา โปรโมชั่น และการบริการ ดังนั้นจึงมีแนวคิดในการหาพันธมิตรเพื่อมาทำงานร่วมกับเอ็นที โดยอาจนำร่องหาพันธมิตรทำบรอดแบนด์ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลก่อน
สำหรับประมาณการณ์ผลประกอบการปี 2567 คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 87,983.93 ล้านบาท มีรายจ่ายอยู่ที่ 89,882.48 ล้านบาท ขาดทุน เกือบ 2,000 ล้านบาท งบลงทุน 5,000 ล้านบาท โดยรายได้ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน 8,965.33 ล้านบาท , กลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศ 2,190.76 ล้านบาท,กลุ่มโมบายล์ 47,889.54 ล้านบาท ,กลุ่มโทรศัพท์พื้นฐานและบรอดแบนด์ 18,673.72 ล้านบาท ,กลุ่มดิจิทัล 4,303.93 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ 5,960.65 ล้านบาท.