"GISTDA" ผุดนวัตกรรม AIP หนุนวิเคราะห์เชิงลึกแก้ปัญหาในพื้นที่

05 ก.ย. 2566 | 13:04 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ก.ย. 2566 | 13:04 น.

"GISTDA" ผุดนวัตกรรม AIP หนุนวิเคราะห์เชิงลึกแก้ปัญหาในพื้นที่ นำร่อง 2 EEC และจังหวัดน่านประยุกต์ใช้ข้อมูลดาวเทียม ข้อมูลภูมิสารสนเทศ และเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อสนับสนุนผู้กำหนดนโยบาย

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เปิดเผยว่า GISTDA ได้ดำเนินการพัฒนานวัตกรรมAIP ซึ่งเป็นเครื่องมือใหม่ที่จะมาช่วยสนับสนุนผู้กำหนดนโยบายในทุกระดับเพื่อนำข้อมูลเชิงลึกมาวิเคราะห์และประมวลผลสำหรับการแก้ปัญหาในพื้นที่

ทั้งนี้ นวัตกรรม AIP พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา THEOS-2 โดยมีพื้นที่นำร่อง 2 พื้นที่ คือ อีอีซี (EEC) และจังหวัดน่าน ซึ่ง AIP ไม่ใช่แค่ระบบแสดงข้อมูลแผนที่ แต่เป็นแพลตฟอร์ม (Platform) ในการประยุกต์ใช้ข้อมูลดาวเทียม ข้อมูลภูมิสารสนเทศ และเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อสนับสนุนผู้กำหนดนโยบาย

และหน่วยปฏิบัติในการแก้ปัญหาเชิงพื้นที่ในด้านต่างๆที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะด้านการเกษตร ด้านน้ำ ด้านภัยพิบัติ ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และการจัดการเมือง 

ซึ่ง AIP จะทำให้ผู้กำหนดนโยบายมองเห็นถึงสถานการณ์และมิติของปัญหาในพื้นที่ต่างๆ ผ่านการสร้างดัชนีชี้วัดที่จะจำลองสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และผลกระทบ รวมถึงสามารถเลือกแผนการรับมือที่เหมาะสมและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยนวัตกรรม AIP ปัจจุบันได้ขยายขอบเขตการดำเนินงานไปสู่การจำลองสถานการณ์ climate change ทั้งประเทศด้วย 

ดร.ปกรณ์ เพ็ชรประยูร โฆษก GISTDA และผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมภูมิสารสนเทศ กล่าวว่า GISTDA ยังได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร 7 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมการข้าว สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

กรมอุตุนิยมวิทยา มหาวิทยาลัยรามคำแหง และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ในการประยุกต์ใช้ AIP เพื่อผลักดันนโยบายด้านการเกษตรที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ช่วยลดความเสียหายและเพิ่มศักยภาพในการปรับตัวของเกษตรกรในประเทศไทย 
 

รวมถึงจะเป็นเครื่องมือที่ยกระดับการกำหนดนโยบายของประเทศไทย ช่วยสร้างนโยบายจากข้อเท็จจริง และหลักฐานเชิงประจักษ์ในพื้นที่ ทำให้สามารถกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกับศักยภาพและบริบทของพื้นที่อย่างถูกต้องและแม่นยำมากขึ้น