สตาร์ทอัพไทยสะเทือน เม็ดเงินลงทุนหาย

27 มี.ค. 2566 | 03:20 น.

วงการสตาร์ทอัพไทยหงอย “เศรษฐกิจชะลอตัว-เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยขาขึ้น” พิษปิด 3 แบงก์สหรัฐ ทำเม็ดเงินลงทุนหาย 500 TukTuks ระมัดระวังการลงทุน สมาคม THAI STARTUP หวังรัฐบาลใหม่ป้อนงานภาครัฐสตาร์ทอัพไทย ขณะที่ “ภาวุธ” เร่งระดมทุนนักลงทุนในประเทศ ตั้งกองทุนพันล้านไตรมาส 2 ปีนี้

นายณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัทอุ๊คบี (Ookbee) และ ผู้บริหารกองทุน 500 TukTuks เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ ชะลอการลงทุนในสตาร์ทอัพทั่วโลก รวมทั้งไทยเริ่มชะลอตัวมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา พร้อมกับการประกาศลดคนของบริษัทเทคโนโลยี ทั้งนี้เป็นผลมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ปัญหาเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

สตาร์ทอัพไทยสะเทือน เม็ดเงินลงทุนหาย

โดยการชะลอการลงทุนในสตาร์ทอัพไม่ได้เพิ่งมาเกิดหลัง Silicon Valley Bank (SVB) ธนาคารที่ปล่อยกู้ให้ Fintech และ Startup, Signature Bank ธนาคารลงทุนในสตาร์ทอัพและ Silvergate Bank ธนาคารด้านคริปโตฯ ของสหรัฐ ปิดตัวไป อย่างไรก็ตามการปิดตัวของทั้ง 3 แบงก์ ยิ่งทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในกองทุน หรือ สตาร์ทอัพ ยากลำบากขึ้นไปอีก

 “กองทุน 500 TukTuks ที่มีเงินฝากใน Silicon Valley Bank (SVB) ก็ได้รับผลกระทบในช่วงสัปดาห์แรก อย่างไรก็ตามได้รับการคุ้มครองเงินฝาก ทำให้มีผลกระทบไม่มาก ส่วนการลงทุนต่อจากนี้อาจต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น”

 ขณะที่ ผศ.ดร. ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทยหรือ “THAI STARTUP” และผู้ร่วมก่อตั้ง iTAX กล่าวว่าที่ผ่านมาเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนหรือนักลงทุนต่างประเทศ ที่เข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพไทยมีจำนวนไม่มาก ดังนั้นจึงมองว่าการปิดตัวของ Silicon Valley Bank (SVB), Signature Bank และ Silvergate Bank ไม่น่าส่งผลกระทบกับวงการสตาร์ทอัพไทย

สตาร์ทอัพไทยสะเทือน เม็ดเงินลงทุนหาย

 “สตาร์ทอัพส่วนใหญ่ของไทย อยู่ในช่วง Early Stage หาไอเดีย มองหารูปแบบการทำธุรกิจ จึงไม่ได้อยู่ในเรดาห์ของกองทุน หรือนักลงทุนต่างประเทศ โดยที่ผ่านมาอาศัยเงินทุนจาก Corporate Venture Capital (CVC) ขององค์กรใหญ่ๆ เป็นหลัก และมีแหล่งเงินภาครัฐหลักแสนบาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการทำให้ธุรกิจเติบโตต่อไป ซึ่งหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ จะเห็นความสำคัญของสตาร์ทอัพมากขึ้น เพราะหลายพรรคการเมืองมีการพูดถึงนโยบายการส่งเสริมสตาร์ทอัพ

 ผศ.ดร. ยุทธนา กล่าวต่อไปอีกว่า ปีนี้ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจ ปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้เงินลงทุนในสตาร์ทอัพลดลง เนื่องจากการลงทุนในสตาร์ทอัพ มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนโยกการลงทุนไปสินทรัพย์อย่างอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า สิ่งที่สมาคม THAI STARTUP พยายามเสนอไปยังรัฐบาลใหม่ คือ เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพไทย เข้าไปให้บริการกับภาครัฐ โดยโยนโจทย์มาให้สตาร์ทอัพ เป็นคนพัฒนาเป็นโซลูชันขึ้นมา ซึ่งภาครัฐมีงบประมาณอยู่แล้ว สิ่งที่สตาร์ทอัพไทยพัฒนาขึ้นมาอาจช่วยให้ภาครัฐ ประหยัดงบประมาณลงไป 2 เท่าเมื่อเทียบกับใช้ระบบจากต่างประเทศ แต่สามารถแก้ปัญหาหรือให้บริการได้ดีกว่าต่างประเทศ เพราะสตาร์ทอัพไทย มีความเข้าใจความต้องการของคนไทยมากกว่า

ด้านนายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ ตลาดดอทคอม Tarad.com กล่าวว่า การปิด Silicon Valley Bank (SVB) , Signature Bank และ Silvergate Bank มีผลกระทบต่อการลงทุนในสตาร์ทอัพ แต่ในไทยขณะนี้ยังเห็นผลกระทบไม่มาก เนื่องจากที่ผ่านมาหน่วยงานกำกับดูแล มีการออกกฎระเบียบมาควบคุมดูแลที่ดี

ทั้งนี้ตนเองจะเดินหน้าจัดตั้งกองทุน มูลค่าพันล้านบาท เพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพต่อไป โดยเม็ดเงินที่ระดมทุนมาจัดตั้งกองทุน มาจากนักลงทุนในประเทศ ไม่ใช่มาจากกองทุนต่างประเทศ ซึ่งคาดว่ากองทุนดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณไตรมาส 2 ของปีนี้

ส่วนนายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Beacon VC) บริษัทในเครือธนาคารกสิกรไทย (KBANK)กล่าวว่าไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติธนาคารในสหรัฐและยุโรปรอบนี้ เพราะไทยไม่ได้พึ่งแหล่งเงินทุนจากจากสหรัฐ แต่ต่อไปต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมาจะระมัดระวังมากอยู่แล้ว อย่างที่เคยบอกว่า การระดมทุนของ VC/ Start-UP ยากขึ้นเพราะต้นทุนแพง