แห่ติดแอพฟินเทคพุ่ง2เท่า ‘ลงทุน-กู้’ยอดนิยม

29 มิ.ย. 2564 | 17:04 น.

AppsFlyer เปิดรายงานการใช้จ่ายทำตลาดแอพการเงิน ระบุคนไทยติดตั้งแอพด้านฟินเทคสูงขึ้น 2 เท่า แต่นักการตลาดใช้ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเพิ่มขึ้นไม่สมสัดส่วนเพียง 25% เท่านั้น

 

นายโรนีน เมนส์ กรรมการผู้จัดการและประธาน AppsFlyer ผู้นำระดับโลกด้านการกำหนดแหล่งที่มาของข้อมูล เปิดเผยรายงานประจำปี 2564 เกี่ยวกับการใช้จ่ายด้านการทำตลาดแอพการเงิน (State of Finance App Marketing report) ในไทย โดยระบุว่ามีการติดตั้งแอพแบบนอนออแกนิค (NOI) ที่ไม่สมสัดส่วนกันกับค่าใช้จ่ายด้านการตลาด โดยเปรียบเทียบนับตั้งแต่ไตรมาสแรกในปี 2563 ถึงไตรมาสแรกปี 2564 ที่มีการใช้จ่ายในการทำตลาดเพิ่มขึ้นเพียง 25% แต่มีการติดตั้งแอพการเงินแบบนอนออแกนิค (จ่ายเงินซื้อโฆษณา) เพิ่มมากขึ้นถึง 2 เท่า หรือประมาณ 56%

ทั้งนี้ตัวเลขการเติบโตตัวเลขดังกล่าวเป็นผลมาจากความต้องการแอพฟินเทคในไทยที่เพิ่มขึ้น 64% นอกจากนี้แล้วยังมีจุดที่น่าสนใจ คือ ในช่วงล็อกดาวน์ในไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ความต้องการของผู้บริโภคไม่ตกลงเลย แต่กลับมีความต้องการแอพฟินเทคเพิ่มขึ้น 9%

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่สูงขึ้นจะผลักดันฐานผู้ใช้งานจากนอนออแกนิคแต่ก็ไม่ใช่กรณีนี้ในช่วงล็อกดาวน์ในไทย จากรายงานระบุว่าประเทศไทย มียอดผู้ใช้งานจากนอนออแกนิคเติบโต ขึ้น 32% (จาก 13.9% เป็น 18.3%) ในช่วงระหว่างไตรมาสสอง- ไตรมาสสาม ในปี 2563 แม้ว่าค่าใช้จ่ายด้านการตลาดจะลดลงในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ดี นักการตลาดในไทยก็ระมัด ระวังมากขึ้นเช่นกัน และเลือกที่จะทำรีมาร์เก็ตติ้งมากขึ้นและหาผู้ใช้ใหม่ ภายหลังปิดล็อกดาวน์ เพื่อให้ทันกับความต้องการแอพฟินเทค ที่เพิ่มขึ้น นักการตลาดชาวไทยได้เพิ่มงบใช้จ่ายในการทำตลาดโดยรวมเป็น 94%

แห่ติดแอพฟินเทคพุ่ง2เท่า ‘ลงทุน-กู้’ยอดนิยม

 

 “ปี 2563 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบต่อวิธีดำเนินธุรกิจ และวิธีการที่ผู้บริโภคตอบสนองและดำเนินการ ภาคส่วนฟินเทคได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่กำลังพัฒนาซึ่งหลายแห่งเป็นกลุ่มฐานลูกค้าที่ไม่มีบัญชีธนาคาร หรือไม่มีหลักฐานสำหรับการกู้ยืมเงินแม้ว่าประเทศไทยจะประสบความสำเร็จตลอดช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลก แต่นักการตลาดควรให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ โดยการทำแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้งและการสร้างฐานผู้ใช้เพื่อให้ประสบความสำเร็จท่ามกลางการแข่งขันรอบด้าน”

โดยรวมแล้ว นักการตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้จ่ายไปทั้งสิ้น 244 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 7,320 ล้านบาท ลงทุนในแอพฟินเทค เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่ในปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นยอดการใช้จ่าย 8% เมื่อเทียบกับตลาดโลก

รายงานดังกล่าวยังได้บอกเหตุผลว่าทำไมแอพการเงินจึงมีความต้องการสูงในไทย เพราะผู้บริโภคชาวไทยเข้าสู่วิถีชีวิตแห่งฟินเทค ใช้งานแอพการเงินบนมือถือหลากหลายประเภทโดยแอพด้านการลงทุนเป็นแอพที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีสัดส่วน 31% รองลงไปคือ แอพกู้ยืมเงินสัดส่วน 25% และการบริการการเงิน ซึ่งรวมแอพการชำระเงินผ่านโมบายเพย์เม้นท์และแอพเครดิตการ์ด สัดส่วน 24%

หากกล่าวถึงการฉ้อฉลทางไซเบอร์ อัตราส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงสูง แม้ว่าตัวเลขจะดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกปี 2563-2564 การฉ้อ ฉลทางไซเบอร์ลดลง 20% อันเป็น ผลลัพธ์ที่สำคัญของโซลูชั่นด้านการต่อต้านการฉ้อโกงทางไซเบอร์ (anti-fraud) นักการตลาดในภูมิภาคเองก็พยายามต่อสู้กับภัยร้ายนี้ จากรายงานของ AppsFlyer ได้แสดงให้เห็นว่าสัดส่วนการฉ้อฉลของแอพฟินเทคในไทยลดลง โดยแอพบริการทางการเงินลดลง 48% แอพการลงทุนลดลง 36% ในขณะที่แอพกู้เงินลดลง 33%

รายงานการทำตลาดแอพการเงินประจำปี 2564 ขอAppsFlyer เก็บข้อมูลการติดตั้งแอพพลิเคชั่น 2,700 ล้านครั้งในเอเชียแปซิฟิค ในช่วงระหว่างไตรมาสแรก ปี 2560 และไตรมาสแรกปี 2564 ซึ่งมีการติดตั้ง 4,700 ล้านครั้งทั่วโลก โดยรายงานดังกล่าวได้วิเคราะห์ออกมาว่ามีการติดตั้งแบบนอนออแกนิค เป็น จำนวน600 ล้านครั้ง จากแอพ 1,230 แอพ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย และเวียดนาม โดยแอพการเงินแบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่ ประกอบด้วย ธนาคารดิจิทัล (Digital Banks), ธนาคาร (Traditional Banks), บริการทางการเงิน (Financial Services), การกู้ยืม (Loans) และการลงทุน(Investments)

หน้า 19 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,691 วันที่ 27 - 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564