ดันเว้น Capital Gain Tax ดึงลงทุนหนุนสตาร์ทอัพ

10 มิ.ย. 2564 | 19:55 น.

"สภาดิจิทัลฯ" เดินหน้าผลักดันไทยก้าวสู่ "ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก" ระดมสมอง "สรรพากร นักลงทุนไทยและต่างประเทศ" ร่วมขับเคลื่อนแบบบูรณาการ สนับสนุนมาตรการยกเว้นภาษี Capital Gain Tax สร้างแรงจูงใจดึงดูดการลงทุนทั่วโลก เสริมศักยภาพสตาร์ทอัพ ยกระดับการแข่งขันในเวทีโลก

สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) ระดมสมองภาครัฐ และเอกชนผ่านการจัดเสวนาออนไลน์ในโครงการ DCT Digital Future Talks เรื่อง "นโยบายทางภาษีเพื่อสนับสนุนการระดมทุนของ Tech Companies (Tax Incentives for Tech Companies)" เพื่อรวบรวมความเห็นและแนวทางความเป็นไปได้เกี่ยวกับนโยบายทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนของสตาร์ทอัพไทย โดยเฉพาะในกลุ่มในประเด็นการยกเว้นการจัดเก็บภาษีจากการลงทุน Capital Gain Tax เพื่อจูงใจให้นักลงทุนไทยและต่างประเทศ (Venture Capital หรือ VC) เข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สร้างไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก โดยมีผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการสภาดิจิทัลฯ ดร.ณวัฒน์ คำนูนวัฒน์ ผู้ดูแลโครงการพันธกิจ ศูนย์กลางนวัตกรรมระดับภูมิภาค สภาดิจิทัลฯ  นายอัครราชย์ บุญญาศิริ นักวิชาการภาษีชำนาญการพิเศษ กรมสรรพากร นางสาวณิชาภัทร อาร์ค Thailand Coverage, Openspace Ventures ตัวแทนจาก VC ในต่างประเทศ และนายศรัณย์ สุตันติวรคุณ นายกสมาคม Thai Venture Capital Association (TVCA) และผู้ถือหุ้น N-Vest Venture Co., Ltd

ดันเว้น Capital Gain Tax ดึงลงทุนหนุนสตาร์ทอัพ

ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT)กล่าวว่า ปัจจัยประการสำคัญที่จะส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพไทยให้แข่งขันได้บนเวทีโลก คือการสร้างระบบนิเวศ(Ecosystem)ให้เข้มแข็งทั้งด้านนโยบายและกฎระเบียบต่าง ๆ ทั้งนี้ควรจะต้องมีการปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะมาตรการภาษีควรมีการยกเว้นการจัดเก็บภาษีจากการลงทุน Capital Gain Tax ในธุรกิจสตาร์ทอัพและ Tech Companies เพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการระดมทุนของธุรกิจสตาร์ทอัพไทยเพื่อให้เติบโตได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก และจะส่งผลให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้จากธุรกิจสตาร์ทอัพได้มากขึ้นในอนาคตทั้งนี้ถือเป็นพันธกิจสำคัญของสภาดิจิทัลฯ ที่จะผลักดันอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยก่อนหน้านี้ไทยเคยมีมาตรการยกเว้นภาษีดังกล่าวมาแล้วในช่วงปี 2559-2561 และยกเลิกไป จึงขอเสนอให้ภาครัฐพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง ก่อนที่สตาร์ทอัพจะหันไปจดทะเบียนธุรกิจในต่างประเทศที่จูงใจด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากกว่า

ดร.ณวัฒน์ คำนูนวัฒน์ ผู้ดูแลโครงการพันธกิจ ศูนย์กลางนวัตกรรมระดับภูมิภาค สภาดิจิทัลฯกล่าวว่า ปัจจุบันหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มีนโยบายยกเว้นภาษี Capital Gain Tax ทำให้ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้จำนวนมาก ซึ่งประเทศไทยควรมีมาตรการภาษีในทิศทางเดียวกัน เพื่อเร่งขยายโอกาสการเติบโตของสตาร์ทอัพ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าการลงทุนใน Tech Companies ในภูมิภาคอาเซียน เข้ามาลงทุนกับธุรกิจสตาร์ทอัพไทย

นายอัครราชย์ บุญญาศิริ นักวิซาการภาษีชำนาญการพิเศษ กรมสรรพากร กล่าวว่า ในส่วนของกรมสรรพากรนั้นรับผิดชอบ 2 เรื่องหลัก ได้แก่ เรื่องการจัดเก็บภาษีให้ได้ตามประมาณการของรายได้ และการเสนอแนะนโยบายภาษีเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ที่ผ่านมาได้มีกฎเกณฑ์เพื่อช่วยเหลือ และสนับสนุน ทั้งสตาร์ทอัพและ VC เช่น การยกเว้น Capital Gain Tax ของ VC และ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลของสตาร์ทอัพ แต่ปัจจุบันมาตรการดังกล่าวนั้นเกินระยะเวลาที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้แล้ว ซึ่งมาตรการใหม่ๆ จะเป็นรูปแบบชั่วคราว เพื่อประโยชน์ในการติดตามผล และการปรับปรุงได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ ในปัจจุบัน การส่งเสริมและสนับสนุน Tech Companies นั้นอยู่ในประเด็นที่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล และที่ผ่านมาเรามีเครื่องมือที่ออกมาชั่วคราว หากจะมีการออกนโยบายอีกครั้ง ก็จำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทางกรมสรรพากรยินดีฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่งได้รับข้อเสนอมาแล้วจากสภาดิจิทัลฯ และทำงานร่วมกับภาคเอกซนอย่างต่อเนื่อง โดยสภาดิจิทัลฯ สามารถเป็นองค์กรกลาง รวมถึงเป็นตัวแทนภาคเอกชน ในการพูดคุยกับภาครัฐได้

ทั้งนี้ ทางกรมสรรพากรจะนำข้อเสนอดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา โดยมีกรอบการทำงานที่มุ่งเน้นถึงความจำเป็นและประโยชน์อย่างคุ้มค่าต่อการลงทุน เพื่อส่งเสริมให้ Ecosystem ของสตาร์ทอัพ และTech Companies ให้มีความสมบูรณ์ได้ต่อไปในอนาคต

 

ส่วนนางสาวณิชาภัทร อาร์ค Thailand Coverage, Openspace Ventures ตัวแทนจากผู้ลงทุนในต่างประเทศ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นบริษัทร่วมลงทุนต่างประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์และมีการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน มองว่าการยกเว้นภาษี Capital Gain Tax จะดึงดูดเงินลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งการตัดสินใจเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพจะพิจารณาหลายปัจจัย ตั้งแต่แผนธุรกิจและศักยภาพของสตาร์ทอัพ ขนาดของตลาด(Market Size) การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน รวมถึงการพิจารณาเรื่องนโยบายภาษีของประเทศที่จะเข้าลงทุนด้วย โดยมองว่า เป็นเรื่องที่ต้องมีการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดแนวทางที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด

ด้านนายศรัณย์ สุตันติวรคุณ นายกสมาคม Thai Venture Capital Association (TVCA) และผู้ถือหุ้น N-Vest Venture Co., Ltd กล่าวว่า มาตรการยกเว้นภาษี Capital Gain Tax ถือเป็นสิทธิประโยชน์พื้นฐานที่จำเป็นต่อการส่งเสริมศักยภาพการลงทุนให้กับสตาร์ทอัพและ Tech companies เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งข้นกับต่างประเทศ ซึ่งเป็นมาตรการพื้นฐานของสิงคโปร์และฮ่องกง แม้การยกเว้นภาษี Capital Gain Tax อาจไม่ใช่ปัจจัยดึงดูดให้ต่างชาติย้ายฐานการลงทุนมาประเทศไทยทันที แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อให้สตาร์ทอัพไทยเติบโตสู้กับประเทศอื่นได้ และจะทำให้สตาร์ทอัพไทยสามารถดึงบุคลากรที่มีศักยภาพจากทั่วโลกมาร่วมสร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วย

นางสาว อรดา วงศ์อำไพวิทย์ ผู้ช่วยประธานสภาฯ และหัวหน้าฝ่ายกฎหมายสภาดิจิทัลฯ กล่าวว่า สภาดิจิทัลฯ กำลังเร่งดำเนินการรวบรวมข้อคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในประเด็นมาตรการภาษี Capital GainTax ไปนำเสนอต่อภาครัฐเพื่อกำหนดเป็นมาตรการทางภาษีต่อไปโดยเร็วที่สุด อีกทั้งสภาดิจิทัลฯ จะดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่นักลงทุนไทยในสื่อต่างๆ ของสภาดิจิทัลฯและพันธมิตร อันจะช่วยสร้างโอกาสในการลงทุนนำไปสู่ความได้เปรียบทางการแข่งขันเพื่อให้ธุรกิจผู้ประกอบการดิจิทัลไทยให้สามารถเติบโตเพื่อการแข่งขันได้ในระดับโลกต่อไป