บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ได้รับมอบหมายภารกิจให้เป็นแกนนำในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการใช้ไฟฟ้า หรือ Emissions Scope 2 Decarbonization ให้แก่กลุ่ม ปตท.โดยเน้นการเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนผ่าน Third Party Access (TPA) เข้ามาบูรณาการร่วมกับการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าประเภทฟอสซิลเดิมที่บริษัทฯ มีอยู่
ในปี 2567 ที่ผ่านมา GPSC ได้จัดทำร่างแผนกลยุทธ์และการบริหารจัดการ ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจพลังงาน เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) และยังครอบคลุมถึงพันธกิจในการเป็นผู้นำในการพัฒนาไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กลุ่ม ปตท. (PTT Group Decarbon ization) ด้วยกลยุทธ์ 4S ได้แก่
Strengthen and Expand the Core : มุ่งเน้นสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจการผลิตและส่งจ่าย สาธารณูปการให้เป็นเลิศ (Best-in-Class Strategy) ในระดับสากลภายในปี 2568
Scale-up Green Energy : มุ่งเน้นการขยายธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Renewable Hybrid System) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
New S-curve : มุ่งเน้นการพัฒนาด้วยการลงทุนด้านนวัตกรรม New S-curves ในหลายรูปแบบ เพื่อเพิ่มรายได้ และรองรับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจพลังงานและธุรกิจไฟฟ้าในอนาคต ที่สำคัญได้แก่ ธุรกิจ Renewable Value Chain
Shift to Customer-centric Solutions : มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจในรูปแบบการผลิตไฟฟ้าแบบกระจาย ศูนย์(Distributed Generation) ระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์(District Cooling System) และการบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management Services) ภายใต้นวัตกรรมพลังงานเพื่อธุรกิจ(Smart Power Solution Business)
ทั้งนี้ GPSC ตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2060 ซึ่งการดำเนินงานระยะสั้น GPSC ได้กำหนดจะลดความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอนลง 10% ภายในปี 2568 และ 35% ภายในปี 2573 และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 50 % ภายในปี 2573
นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ราว 7,058 เมกะวัตต์ โดยมีสัดส่วนจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานงานนํ้า อยู่ราว 40 % โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง สัดส่วน 49 % และโรงไฟฟ้าพลังความร้อน เชื้อเพลิงถ่านหินราว 11 %
ทั้งนี้ เมื่อถึงสิ้นปี 2572 บริษัท จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 14,076 เมกะวัตต์ โดยจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียนถึง 68% ซึ่งดำเนินงานได้เร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้ในปี 2573 ส่งผลให้เป็นบริษัทไฟฟ้า 3 อันดับแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีสัดส่วนไฟฟ้าสีเขียวมากกว่าครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ จะมีสัดส่วนลดลงอยู่ที่ 24% ถ่านหิน เหลือ 6% เป็นต้น
สำหรับสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นมานี้ ส่วนใหญ่จะมาจากการเข้าถือหุ้น 42.93% ในบริษัท อวาด้า เอนเนอร์ยี่ ไพรเวท ลิมิเต็ท (AEPL) ในกลุ่มอวาด้า (Avaada Group) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ที่ปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย
Avaada Energy Private Limited (AEPL) ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 20,399 เมกะวัตต์ ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 37 โครงการ กำลังการผลิต 4,696 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จำนวน 6 โครงการ กำลังผลิต 2,052 เมกะวัตต์ ดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2568 และ 2569 และอยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 23 โครงการ กำลังผลิต 13,651 เมกะวัตต์ ดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2568 และ 2570 โดยทาง AEPL วางแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นไปอยู่ที่ 30,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนขึ้นตามมาอีก
นายวรวัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนการการพัฒนาด้วยการลงทุนด้านนวัตกรรม New S-curves บริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดประเภท Base Load อื่น ๆ เช่น การใช้เชื้อเพลิงแอมโมเนีย มาผสมร่วมกับถ่านหินในสัดส่วน 50 % เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเทียบเท่ากับการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้ ยังศึกษาการใช้เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์(Carbon Capture and Storage หรือ CCS) รวมถึงการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor : SMR) ขนาดกำลังผลิต 200-400 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้ผลการศึกษาความเป็นไปได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะสรุปผลในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
การดำเนินงานดังกล่าวจะช่วยให้สามารถขยายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้มากยิ่งขึ้นในระยะยาว และช่วยให้บริษัทฯ และกลุ่ม ปตท. มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Greenhouse Gas Emissions) ในที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง