ทั้งนี้ได้นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อยกเลิกการจ่ายค่าไฟฟ้าในรูปแบบ Adder และ Feed-in Tarif (FIT) ที่ผู้ผลิตไฟฟ้าจะได้รับตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งเป็นนโยบายภาครัฐ (Policy Expense) ที่ใช้เพื่อการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในช่วงที่ผ่านมานั้น
ล่าสุดกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ประกอบด้วย สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100) สมาคมพลังงานลม (ประเทศไทย) สมาคมอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ไทย สมาคมการค้าก๊าซชีวภาพไทย ได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กพช.
โดยเห็นว่า หากมีการยกเลิกการดำเนินการตามแนวคิดข้างต้น จะมีผลกระทบในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น ผลกระทบต่อผู้ประกอบการและสถาบันการเงิน ซึ่งผู้ผลิตไฟฟ้าหลายรายอาจจะต้องยุติการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาที่ได้รับจากรัฐ เนื่องจากไม่มีความสามารถในการชำระหนี้คืนแก่สถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนโครงการ อันจะส่งผลให้สถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนโครงการไม่อาจได้รับชำระหนี้เงินกู้คืนได้
ทั้งนี้ ภาระจากกู้ยืมเงินนั้นเป็นต้นทุนของโครงการผลิตไฟฟ้าที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะเงินลงทุนโครงการจะมีส่วนที่ได้จากการกู้ยืมเงินในลักษณะสินเชื่อโครงการ (Project Finance) ซึ่งคำนวณจากต้นทุนของโครงการในขณะนั้น และไม่ได้ลดลงตามต้นทุนของเทคโนโลยีที่ลดลงในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการกู้เงินในอดีต
ดังนั้น จำนวนเงินที่จะต้องคืนให้กับสถาบันการเงินจึงเท่าเดิม การกล่าวว่าผู้ประกอบการผ่านจุดคุ้มทุนแล้ว จึงไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ การนำราคาอุปกรณ์ในปัจจุบันมาเป็นเหตุให้ราคารับซื้อลดลงก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
อีกทั้ง อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทย จะไม่สามารถเติบโตต่อไปได้ เนื่องจากผู้ประกอบการไม่สามารถประมาณการต้นทุน และรายรับของโครงการได้ ทำให้สถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศเช่น Asian Development Bank (ADB) หรือ World Bank ไม่สนับสนุนเงินทุนให้กับโครงการ ผู้ประกอบการจึงต้องไปลงทุนในธุรกิจอื่นแทน
นอกจากนี้ ยังกระทบต่อความน่าเชื่อถือต่อการลงทุนของประเทศ เนื่องจากสถาบันการเงินไม่มั่นใจและขาดความเชื่อมั่นที่จะให้สินเชื่อแก่โครงการพลังงานสะอาด (Green Finance) รวมถึงโครงการลงทุนอื่น ๆ ในประเทศไทย เนื่องจากความเสี่ยงด้านนโยบายที่เพิ่มสูงขึ้น อันจะทำให้ Credit Rating ของประเทศไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ทำไว้กับการไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นสัญญาระยะยาวที่ทำกับหน่วยงานรัฐ
ขณะดียวกันผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างประเทศ ขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการลงทุนด้านพลังงานสะอาด (Green Investment) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายและอาจจะมีการแก้ไขสาระสำคัญของสัญญาที่เอกชนมีหน้าที่สนับสนุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาวที่ทำกับหน่วยงานรัฐ
การที่รัฐเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิทธิประโยชน์หรือมาตรการสร้างแรงจูงใจที่ได้ทำกับเอกชน ณ วันที่เชิญชวนให้มีการลงทุน โดยเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงทางการเมืองและทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น และเกิดความไม่มั่นใจต่อการจัดเตรียมไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดไว้รองรับการลงทุน และเปลี่ยนแผนการลงทุนไปประเทศอื่น อันจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
รวมถึงผลกระทบทางด้านกฎหมาย ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขราคา หรือสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ควรคำนึงถึงความเป็นธรรม ซึ่งจะต้องเป็นการเห็นชอบของคู่สัญญา ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ได้ลงนามแล้วนั้นไม่มีข้อสัญญาใดที่ให้อำนาจรัฐแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงราคารับซื้อได้ฝ่ายเดียว การใช้อำนาจฝ่ายเดียวจึงอาจเป็นการกระทำที่ปราศจากฐานทางกฎหมายรองรับ
ทั้งนี้ มาตรา 7(5) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจพลังงาน พ.ศ. 2550 บัญญัติว่าพระราชบัญญัตินี้มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมให้การประกอบกิจการพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมต่อผู้รับใบอนุญาตและผู้ใช้พลังงาน การแก้ไขราคาหรือสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ได้ลงนามแล้วโดยไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับ ซึ่งก่อให้เกิดภาระทางการเงินและความเสียหายในการชำระเงินกู้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกคำนึงถึงหรือคาดหมายได้ ณ วันลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าย่อมก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้รับใบอนุญาตซึ่งขัดต่อวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจพลังงานพ.ศ. 2550
อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เห็นว่าราคารับซื้อไฟฟ้าในกลุ่ม Adder และ Feed in Tarif ไม่ใช่ตัวแปรหลักที่ทำให้ค่าไฟฟ้าที่เป็นภาระกับผู้ใช้ไฟฟ้า เนื่องจากปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากกลุ่มนี้มีไม่ถึง 10% ของการรับซื้อไฟฟ้าทั้งหมด การแก้ปัญหารัฐบาลครวหาแนวทางปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้าไม่ให้เป็นภาระกับภาคประชาชนมากเกินไป โดยสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และไม่สร้างภาระให้กับประเทศในอนาคต
ที่สำคัญการปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้า ควรมุ่งเน้น การปรับปรุงในเรื่องประสิทธิภาพและแนวทางอื่นที่ส่งผลต่อค่าไฟฟ้าที่ลดลงมากกว่านี้ เช่น พิจารณาหาแนวทางลดค่าความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้า (Availability Payment: AP) ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าของประเทศ และพิจารณาหาแนวทางลดต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้า ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 60 % ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง