ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ที่คาดการณ์ว่าปีนี้(2568)จะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา อีกทั้งปัจจัยภายนอก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การหวนคืนตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” วันที่20มกราคม ที่ประเมินว่า ไทยจะมีทั้งผลดีและผลเสีย จากมาตรการผู้นำสหรัฐฯ ที่จะดำเนินการกับมหาอำนาจจีน จากสงครามการค้า ซ้ำเติมเศรษฐกิจจีนที่ย่ำแย่ กำลังซื้อซบเซา และอาจมีผลพวงมาถึงอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่คาดหวังปีนี้ จีนน่าจะซื้อที่อยู่อาศัยในไทยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม เพื่อดูดซับสต๊อกที่มีอยู่ให้ลดลง
ทั้งนี้ในภาพรวม จีนยังคงครองแชมป์ซื้อคอนโดมิเนียมในไทย แม้อัตราซื้ออาจลดลง จากช่วงก่อนสถานการณ์โควิดก็ตาม นอกจากนี้ ผลที่ทรัมป์เป็นผู้นำสหรัฐ จะเกิดการไหลบ่าของทุนจีนย้านฐานการผลิตโดยใช้ไทยเป็น สมรภูมิส่งออก หนีกำแพงภาษีกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ซึ่งผลที่ตามมาคือความต้องการที่อยู่อาศัยแต่ผลร้ายไทยอาจเจอลูกหลงตามไปด้วย จากนโยบายทรัมป์ที่มีต่อจีน
ท่ามกลางทุนจีนไหลบ่าเข้าซื้อที่ดินตั้งโรงงานในไทยภายใต้บริษัทสัญชาติไทย อีกแง่มุมมองของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยตั้งข้อสังเกตนอกจากจีนเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในไทย แล้ว จะมีการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยเอง แข่งกับผู้ประกอบการไทย ทั้งด้วยสินค้าวัสดุก่อสร้างที่มีต้นทุนต่ำ เทคโนโลยีทันสมัยก่อสร้างได้รวดเร็ว
ผู้ประกอบการไทยต้องตั้งรับและปรับตัว ยังไม่รวมแนวโน้มทุนจีนรายใหญ่เข้ามาร่วมทุนเป็นพันธมิตรกับ ผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้น ในมุมกลับกัน มีจำนวนไม่น้อยที่ชาวจีน ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจากผู้ประกอบการไทย ซึ่งช่วยให้ อสังหาริมทรัพย์ในประเทศได้อานิสงส์ จากโครงการที่เปิดขายใหม่และสต๊อกที่มี
สะท้อนตัวเลขศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC)พบ ที่อยู่อาศัยรอการขายหรือสต๊อกยกยอด มาในปีนี้ ณ ไตรมาสที่ 3 ปี2567 กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลมีหน่วยเหลือขายสูงถึง 215,800 หน่วย เพิ่มขึ้น 10.2% มูลค่า 1,313,487 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.3% โดยเพิ่มขึ้นทุกระดับราคาเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขณะ การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ของคนจีน มีจำนวน 4,386 หน่วย คิดเป็น 39.7% รวมมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 20,201 ล้านบาท เป็นสัดส่วน 39.3% ของชาวต่างชาติทั้งหมด
“คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ ประเทศไทย” มองกำลังซื้อต่างชาติในปี2568 คาดว่าจะมากกว่าปีที่ผ่านมา และกลุ่มของผู้ซื้อก็ยังคงเป็นกลุ่มเดิม คือ จีน รัสเซีย เมียนมา ไต้หวัน ยุโรป สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ผู้ประกอบการไทยจะพยายามหาช่องทางในการเข้าถึงกำลังซื้อต่างชาติให้ได้มากขึ้น ทั้งด้วยตนเอง และการหาเครือข่ายหรือพันธมิตร เพื่อต้องการปิดการขายให้เร็ว และเพื่อการระบายสต๊อกคงเหลือของตนเอง กลุ่มผู้ซื้อชาวจีนคาดว่าจะมากขึ้น ทั้งจากการเข้ามาลงทุนด้วยตนเองเพราะในประเทศจีนลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้แล้ว และการเข้ามาในประเทศไทยด้วยเหตุผลอื่นๆ เช่น ลงทุนทำธุรกิจเพราะในประเทศจีนอาจจะทำได้ลำบากมากขึ้น เข้ามาเพราะบุตรหลานมาเรียนหนังสือในประเทศไทยเลยต้องหาที่พักระยะยาว และลงทุนธุรกิจเพื่อที่จะได้อยู่ในประเทศไทยได้ยาวนานขึ้น การแข่งขันเพื่อดึงดูดกำลังซื้อต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนคาดว่าจะมากขึ้นแน่นอน
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าการเข้ามาของคนจีนทั้งเพื่อการลงทุน ธุรกิจ ทำงาน รวมไปถึงกลุ่มที่เข้ามาใช้ชีวิตบั้นปลายในประเทศไทยล้วนมีมากมายกลุ่มที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ คนที่เขามาตั้งบริษัทหรือลงทุนธุรกิจในประเทศไทย เพราะจากสถิติของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ก็ชัดเจนว่าคนจีนเข้าลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น และมากกว่าประเทศอื่นๆ ไปแล้ว 9 เดือนที่ผ่านมาการลงทุนจากประเทศจีนที่ได้รับอนุมัติจาก BOI มีมูลค่าถึง 146,356 ล้านบาท
รวมไปถึงการเพิ่มขึ้นของนิติบุคคลที่มีผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งเป็นคนจีนในประเทศไทย ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 มีจำนวนถึง 29,913 ราย มูลค่าเงินจดทะเบียนทั้งหมด 409,295 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ประมาณ 9.82% และ ปี 2568 มีแนวโน้มที่จะมากขึ้นอีกจากนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา เมื่อการเข้ามาของนักลงทุน นักธุรกิจจีนมีมากขึ้น จำนวนคนจีนที่ได้ใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยจึงมากขึ้นด้วย
โดย ณ เดือนตุลาคม 2567 มีคนจีนที่ได้ใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยทั้งหมดประมาณ 41,752 คน มากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศ อื่นๆ และมากกว่าญี่ปุ่นที่ครองอันดับที่มามากกว่า 10 ปีไปแล้วตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ดังนั้น ณ ปัจจุบัน คนจีนที่เข้ามาในประเทศไทยด้วยเหตุผลต่างๆ จึงกลายเป็น 1 ในกำลังซื้อสำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย
จากการตรวจสอบของ “ฐานเศรษฐกิจ” ยังพบว่า นักลงทุนจีนรายใหญ่ค่ายมือถือดัง เข้ามาตั้งฐานในไทยได้เหมาคอนโดมิเนียม ยกโครงการให้พนักงานของเขาอยู่ในทำเลแถบ ย่านพระราม9 เป็นต้น และมองว่าจะมีมากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวนกำลังซื้อของคนไทยชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม การหวนคืนผู้นำประเทศของ “ทรัมป์” มีทั้งผลดีและผลกระทบที่รัฐบาลไทยต้อง ตั้งรับไม่ใช่เพียงแค่ นักธุรกิจ ภาคเอกชน!!!
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,063 วันที่ 19 - 22 มกราคม พ.ศ. 2568