AP มั่นใจ ยอดขายปีนี้ เข้าเป้า !

15 ก.ย. 2563 | 13:58 น.

AP มั่นใจยอดขายปีนี้เข้าเป้า 3.35 หมื่นลบ. หลัง 8 เดือนทำได้แล้ว 2.14 หมื่นล้านบาทสวนทางโควิด -19

 

  นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) (AP) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจยอดขายปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 33,500 ล้านบาท โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายแล้วกว่า 21,420 ล้านบาท โดยยอดขาย จำนวน 18,400 ล้านบาท มาจากสินค้ากลุ่มแนวราบ ซึ่งคิดเป็น 82% ของเป้าหมายยอดขายแนวราบทั้งปีที่ 22,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 15% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

          ทั้งนี้ ณ สิ้น มิ.ย.63 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) รวมโครงการร่วมทุนมูลค่า 49,330 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปี 63 ประมาณ 21,018 ล้านบาท โดย Backlog ทั้งหมดแบ่งเป็นโครงการแนวราบประมาณ 12,010 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปี 63 และโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 37,320 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปี 63 ประมาณ 9,008 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 66

          นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 12-13 ก.ย. ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดขายบ้านเดี่ยวใหม่ จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ THE CITY สาทร-สุขสวัสดิ์ 2 ราคาขายตั้งแต่ 29.9-37 ล้านบาทต่อยูนิต, 2.โครงการ THE CITY พระราม 2-พุทธบูชา ราคาขายตั้งแต่ 9-15 ล้านบาทต่อยูนิต, 3.โครงการ THE CITY พระราม 9-รามคำแหง ราคาขายตั้งแต่ 11-25 ล้านบาทต่อยูนิต, 4.โครงการ THE PALAZZO ปิ่นเกล้า ราคาขายตั้งแต่ 35-60 ล้านบาทต่อยูนิต, 5.โครงการ CENTRO พระราม 9-กรุงเทพกรีทา ราคาขายตั้งแต่ 7.9-15 ล้านบาทต่อยูนิต และ 6.โครงการ CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก 2 ราคาขายเริ่มตั้งแต่ 7.59-11 ล้านบาทต่อยูนิต

          โดยทุกโครงการได้รับการตอบรับที่ดีเกินความคาดหมาย ซึ่งในช่วง 2 วันที่เปิดขาย บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท และในบางโครงการสามารถปิดการขายได้หมด ซึ่งบางโครงการบริษัทไม่สามารถสร้างบ้านได้ทันการขาย สะท้อนได้ถึงภาพกำลังซื้อในตลาดระดับบนยังคงมีอยู่ ตลอดจนความเชื่อมันที่ลูกค้ามีต่อบ้านเดี่ยวเครือ AP

          ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. นี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบเพิ่มอีก จำนวน 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 17,550 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการประเภทบ้านเดี่ยว จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,955 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/63 กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวจะเปิดตัวโครงการใหม่อีกจำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1,800 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ THE CITY บรมราชชนนี-ทวีวัฒนา มูลค่าโครงการ 890 ล้านบาท และโครงการย่านสาธุประดิษฐ์ 1 มูลค่าโครงการ 910 ล้านบาท ซึ่งรวมทั้งปกลุ่มธุรกิจบ้านเดียว เปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 18 โครงการ มูลค่าโครงการ 20,430 ล้านบาท และเป็นโครงการประเภททาวน์เฮ้าส์ จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,595 ล้านบาท

          "ปัจจุบันความต้องการโครงการประเภทแนวราบ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเปิดตัวโครงการใหม่ของเรา ได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งแม้จะมีผู้เล่นรายใหญ่ๆ ลงมาในตลาดแนวราบมากขึ้น แต่เรามองว่าสินค้าน่าจะลดลงจากช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ความต้องการยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เราจึงมองเป็นโอกาสในการขยายตลาดแนวราบมากขึ้น"นายรัชต์ชยุตม์ กล่าว

          ด้านนางพิมพรรณ ปรีชานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารแบรนด์และพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยว AP เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทออกแบบบ้านภายใต้แนวคิด HYBRID LIVING ผ่าน 4 แกนสำคัญ ได้แก่ 1.Cost-saving นวัตกรรมเพื่อส่วนรวมกับพื้นที่ส่วนกลางที่รองรับการทำกิจกรรมแบบจัดเต็มของคนทุกวัย โดยไม่ต้องกังวลถึงค่าใช้จ่าย ด้วยคลับเฮ้าส์พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power system) ทำงานผ่านระบบโซลาร์เซลล์ที่อยู่ในส่วนบนของหลังคาคลับเฮ้าส์, 2.Community นวัตกรรมที่ดูแลคอมมูนิตี้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน Katsan Platform ผู้ช่วยคุ้มกันอัจฉริยะ ซึ่งจะทำหน้าที่คัดบุคคล ที่จะเข้ามาภายในโครงการ ตลอดจนการอำนวยความสะดวกต่างๆ ในการอยู่อาศัย เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้น

         

 

 

3.Security นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยกับระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะภายในบ้าน ดูแลสมาชิกทุกคนตลอด 24 ชั่วโมง เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว แจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมส่งเสียงไซเรนเตือนผู้บุกรุก กล้อง IP Camera ที่สามารถ Live Stream ภาพ เพื่อดูแลทุกสมาชิกครอบครัว ระบบ Digital Door Lock เปิด-ปิดประตูหน้าบ้านผ่าน Application พร้อม ระบบ Pin Code ชั่วคราวที่ใช้ได้ครั้งเดียวสำหรับแขกคนพิเศษ หรือปุ่มเรียกฉุกเฉินสำหรับยามคับขันสร้างความอุ่นใจให้กับผู้อยู่อาศัยทุกวัย

          4.Comfort นวัตกรรมเพื่อความสะดวกสบายกับระบบสั่งการอัจฉริยะ Smart Home Gateway และ Security Module ภายในบ้านผ่านการเชื่อมต่อกับ ระบบควบคุมไฟแสงสว่าง (Lighting Control) ที่ทำงานควบคู่กับระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion Sensor) ดูแลสนามหญ้าอย่างมือโปร หรือการควบคุมเครื่องปรับอากาศไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกบ้าน เป็นต้น

         

 

"ในปัจจุบันความท้าทายของการพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยวมาถึงจุดที่ยกระดับไปมากกว่า เรื่องของทำเลที่ตั้ง และเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้งาน หัวใจของการออกแบบพัฒนาโครงการในวันนี้และในอนาคต จึงเป็นเรื่องสำคัญที่แบรนด์ต้องกลับมาทำการบ้านในการออกแบบพื้นที่มากขึ้น รวมถึงการเข้าใจอินไซด์ของการใช้พื้นที่ที่แตกต่างกันของทุกสมาชิกในครอบครัว รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับการอยู่อาศัย จนเกิดเป็นแนวคิด HYBRID LIVING นวัตกรรมบ้านที่เข้าใจการใช้ชีวิตแบบไฮบริด ผ่าน 4 แกนสำคัญ" นางพิมพรรณ กล่าว