จากกรณีที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินการส่งตัวชาวอุยกูร์กลุ่มหนึ่งกลับไปยังประเทศจีน ซึ่งนำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่กังวลต่อชะตากรรมของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับไป ในเรื่องนี้รายการ ‘ฐานทอล์ค’ ทางเนชั่นทีวี 22 โดยฐานเศรษฐกิจ ได้สัมภาษณ์ พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ถึงมุมมองของเรื่องนี้
พล.ท.พงศกร ระบุว่า การตัดสินใจของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไทยอยู่ในจุดที่ถูกกดดันจากทั้งสองฝ่าย ฝั่งจีนต้องการให้ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับ เนื่องจากถือว่ากลุ่มนี้เป็นพลเมืองของจีน ในขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนและบางประเทศตะวันตกเรียกร้องให้ไทยปกป้องชาวอุยกูร์ และปฏิเสธการส่งตัวกลับไปยังประเทศที่อาจเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน
"ไทยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดดันจากหลายด้าน ฝั่งหนึ่งคือจีนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง อีกฝั่งคือองค์กรสิทธิมนุษยชนและประเทศมหาอำนาจที่คอยจับตาดูอยู่" พล.ท.พงศกรกล่าว
อดีตรองเลขาธิการ สมช. ชี้ว่า การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของไทย โดยเฉพาะในแง่ของกลุ่มก่อการร้ายที่อาจมองว่าไทยเป็น "ฝ่ายตรงข้าม" และอาจมีการตอบโต้ในอนาคตโดยกรณีนี้มีผลกระทบในเชิงยุทธศาสตร์ เพราะมีกลุ่มหัวรุนแรงที่มองว่าชาวอุยกูร์เป็นพวกเดียวกัน ซึ่งไทยอาจถูกมองว่าเป็นฝ่ายที่ช่วยจีนปราบปรามกลุ่มอุยกูร์ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงในระยะยาว
ทั้งนี้ นอกจากประเด็นความมั่นคง การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของไทยในสายตานานาชาติ ไทยอาจถูกมองว่าไม่เคารพหลักสิทธิมนุษยชน และในระยะยาว ไทยอาจต้องเผชิญกับแรงกดดันจากนานาชาติในเรื่องนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจ
พล.ท.พงศกร อธิบายว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนนั้นมีมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และการค้าเสรี เพราะจีนเป็นคู่ค้าหลักของไทยมานาน หากเราตัดสินใจขัดแย้งกับจีน จะส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุน มูลค่าการค้าส่งออก โครงการร่วมอย่างระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) และรถไฟความเร็วสูง ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างมูลค่าทางเศรษฐกิจ กับแรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และองค์กรสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม เขาชี้ว่า ไทยต้องเข้าใจว่า “จีนไม่ใช่ผู้เล่นเดียว” ในระบบเศรษฐกิจโลก และสหรัฐฯ ก็เป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญของไทย โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใหม่ ทำให้ไม่สามารถเลือกข้างได้ 100% หากมีความเอนเอียงทางจีนมากเกินไป อาจเกิดมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจจากฝั่งตะวันตก เช่น การจำกัดสิทธิพิเศษทางการค้า หรือกดดันไทยในเวทีโลก ซึ่งท่าทีของสหรัฐฯ ต่อกรณีนี้เป็นไปตามคาด นั่นคือการประณามไทยเรื่องสิทธิมนุษยชน และอาจเพิ่มแรงกดดันทางการทูต
“อย่าลืมว่าสหรัฐฯ มีผลประโยชน์ในไทยหลายด้าน ตั้งแต่ด้านการลงทุนไปจนถึงความร่วมมือทางทหาร แต่ถ้าไทยไม่ยอมอ่อนข้อให้ พวกเขาก็อาจใช้นโยบาย ‘ไม้แข็ง’ เช่น การปรับลดความร่วมมือทางทหาร ลดเงินช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งแรงกดดันจากองค์กรสิทธิมนุษยชนแต่ที่แน่ๆ ไทยจะไม่โดนคว่ำบาตรแบบรัสเซีย เพราะไทยไม่ได้เป็นภัยคุกคามระดับนั้น”
เมื่อถูกถามว่า ไทยจะต้องเจอกับอะไรบ้างหลังจากการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน พล.ท.พงศกรสรุปเป็น 3 ประเด็นหลัก
1.ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศมุสลิม
2.ความมั่นคงภายใน
3.ความเชื่อมั่นของประชาคมโลก
อย่างไรก็ตาม ไทยต้องเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา และเลือกเส้นทางที่รักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจ ไทยควรมีนโยบายที่ชัดเจน ไม่เอียงข้างจีนหรือสหรัฐฯ มากเกินไป และต้องสื่อสารกับประชาคมโลกให้เข้าใจว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้ นอกจากนี้ ยังเสนอว่าไทยอาจต้องหา “ช่องทางทางการทูต” ที่ทำให้ทุกฝ่ายพอใจ ได้แก่
“ถ้าไทยเล่นเกมนี้ดี เราอาจเปลี่ยนจากผู้ถูกกดดัน เป็นผู้ที่สามารถใช้สถานการณ์นี้เพื่อเสริมบทบาทของตัวเองในเวทีโลก”