กรมที่ดินได้ชี้แจงเกี่ยวกับผลการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน ว่าเป็นเพียงการกำหนดขอบเขตพื้นที่ที่มีศักยภาพในการปฏิรูปที่ดินเท่านั้น โดยการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินยังจะยังไม่มีผลให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้มาซึ่งที่ดินเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินในทันที
การใช้ที่ดินเพื่อการปฏิรูปนั้นยังคงต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดในกฎหมาย ซึ่งสำหรับที่ดินของรัฐ ส.ป.ก. ต้องดำเนินการตามมาตรา 26 ของพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน ส่วนกรณีที่ดินของเอกชน ส.ป.ก. ต้องจัดซื้อหรือเวนคืนตามมาตรา 29 ก่อน จึงจะสามารถนำที่ดินนั้นมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินได้
นอกจากนี้ กรมที่ดินยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การออกโฉนดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินยังคงต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 พ.ศ. 2537 ซึ่งห้ามออกโฉนดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินที่มีการสงวนหวงห้าม
เว้นแต่ผู้ครอบครองที่ดินต้องเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิในที่ดินได้ครอบครองและทำประโยชน์แล้ว และเป็นที่ดินที่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ตามกฎหมายจะต้องพิสูจน์สิทธิในการครอบครองและทำประโยชน์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยต้องได้รับการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎหมาย หากพิสูจน์ได้ตามกฎหมายก็สามารถออกโฉนดได้
ดังนั้น เจ้าของที่ดินที่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินและมีหลักฐานเดิมอยู่ก่อนการประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน มีหน้าที่ต้องพิสูจน์สิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการออกโฉนดที่ดินตามหลักเกณฑ์ที่กฎกระทรวงกำหนด
ในปัจจุบันการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ที่กำหนดเป็นเขตปฏิรูปที่ดินยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมที่ดินและสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งระบุขั้นตอนและวิธีการในการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและการปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน