เมื่อวันที่ ๗ ก.พ. 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ กรณีถูกสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม กักยาม กักขัง หรือตัดเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๖๗
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๓ (๒) และมาตรา ๑๔๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติ ตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕ และมติ ก.ตร. ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๗ จึงออกกฎ ก.ตร. ไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กฎ ก.ตร. นี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (8 ก.พ. 68)
ข้อ ๒ การอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์คําสั่งลงโทษทางวินัยกรณีถูกสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม กักยาม กักขัง หรือตัดเงินเดือน ตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎ ก.ตร. นี้
ข้อ ๓ ข้าราชการตํารวจผู้ถูกสั่งลงโทษทางวินัยในสถานโทษภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม กักยาม กักขัง หรือตัดเงินเดือน มีสิทธิอุทธรณ์คําสั่งได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคําสั่ง
ในกรณีที่ผู้ถูกสั่งลงโทษทางวินัยถึงแก่ความตายก่อนที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ ทายาทผู้มีสิทธิรับบําเหน็จตกทอดของผู้นั้น มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คําสั่งแทนได้ภายในกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง
การพิจารณาอุทธรณ์ ให้พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ เว้นแต่มีเหตุขัดข้องตามที่กําหนดในระเบียบ ก.ตร. ที่ทําให้การพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ดังกล่าวก็ให้ขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกินสองครั้ง โดยแต่ละครั้งจะต้องไม่เกินหกสิบวันและให้บันทึก
เหตุขัดข้องให้ปรากฏไว้ด้วย
ข้อ ๔ การใช้สิทธิอุทธรณ์กรณีถูกสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม กักยาม กักขัง หรือ ตัดเงินเดือน ให้อุทธรณ์คําสั่งต่อผู้บังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาที่สั่งลงโทษ หรือ ก.ตร. แล้วแต่กรณี ดังนี้
(๑) กรณีที่ผู้ดํารงตําแหน่งตั้งแต่รองผู้บังคับการหรือเทียบเท่าลงมาเป็นผู้สั่งลงโทษให้อุทธรณ์คําสั่งต่อผู้ดํารงตําแหน่งผู้บังคับการหรือเทียบเท่าที่เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้สั่งลงโทษ
(๒) กรณีที่ผู้ดํารงตําแหน่งตั้งแต่รองผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าลงมาถึงผู้บังคับการ หรือเทียบเท่าเป็นผู้สั่งลงโทษ ให้อุทธรณ์คําสั่งต่อผู้ดํารงตําแหน่งผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้สั่งลงโทษ
(๓) กรณีผู้ดํารงตําแหน่งผู้บังคับการหรือเทียบเท่าของกองบังคับการที่ขึ้นตรงต่อสํานักงาน ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติเป็นผู้สั่งลงโทษ ให้อุทธรณ์คําสั่งต่อผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ
(๔) กรณีที่ผู้ดํารงตําแหน่งตั้งแต่จเรตํารวจแห่งชาติ หรือรองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ หรือเทียบเท่าลงมาถึงผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าเป็นผู้สั่งลงโทษ ให้อุทธรณ์คําสั่งต่อผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ
(๕) กรณีที่ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติเป็นผู้สั่งลงโทษ ให้อุทธรณ์คําสั่งต่อ ก.ตร.
(๖) กรณีที่ผู้บังคับบัญชาอื่นนอกเหนือจาก (๑) ถึง (๕) เป็นผู้สั่งลงโทษให้อุทธรณ์ ต่อผู้บังคับบัญชาที่เป็นหัวหน้าสูงสุดของหน่วยงานหรือกลุ่มตําแหน่งที่ผู้อุทธรณ์นั้นสังกัดอยู่
กรณีที่ผู้สั่งลงโทษใช้อํานาจสั่งลงโทษในฐานะเป็นผู้รักษาราชการแทนหรือปฏิบัติราชการแทน ในตําแหน่งใด ให้ถือว่าเป็นการสั่งลงโทษของผู้ดํารงตําแหน่งที่รักษาราชการแทนหรือปฏิบัติราชการแทน นั้น
ข้อ ๕ ให้ผู้บังคับบัญชาหรือ ก.ตร. ตาม ข้อ ๔ เป็นผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์ที่รับไว้ ในแต่ละกรณี
ข้อ ๖ การอุทธรณ์ต้องทําเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งประกอบข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย และเหตุผลในการอุทธรณ์ให้เห็นว่า ได้ถูกลงโทษโดยไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นธรรมอย่างไร และลงลายมือชื่อและที่อยู่ของผู้อุทธรณ์
ข้อ ๗ เพื่อประโยชน์ในการอุทธรณ์ ผู้จะอุทธรณ์มีสิทธิขอตรวจหรือคัดรายงานการสืบสวน หรือรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสืบสวนหรือสอบสวน หรือของผู้สืบสวนหรือสอบสวนได้
ส่วนการขอตรวจหรือคัดบันทึกถ้อยคําบุคคล พยานหลักฐานอื่น หรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง ให้อยู่ใน ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาผู้สั่งลงโทษที่จะอนุญาตหรือไม่ก็ได้ โดยให้พิจารณาถึงประโยชน์ในการรักษา วินัยการปกครองบังคับบัญชาข้าราชการตํารวจ ความปลอดภัยของพยาน ตลอดจนเหตุผลและ ความจําเป็นเป็นเรื่อง ๆ ไป ทั้งนี้ ให้คํานึงถึงกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วย