“พรรคประชาชน”คิดการใหญ่กวาด 270 สส. ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

02 ต.ค. 2567 | 07:00 น.

พรรคประชาชน นำทีมโดย “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรค เปิดใจเครือเนชั่น วางยุทธศาสตร์เลือกตั้งปี 2570 เป้ากวาด สส. 270 ที่นั่ง หวังคะแนนป๊อปปูล่าร์โหวต 20 ล้านเสียง ปาร์ตี้ลิสต์ 50 ที่นั่ง สส.เขต 220 ที่นั่ง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หรือ “เท้ง” สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) พร้อมด้วยแกนนำพรรค นายศรายุทธ ใจหลัก เลขาธิการพรรค น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรค ได้พบปะผู้บริหารและสื่อเครือเนชั่น เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 

โอกาสนี้ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อปูทางไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป ที่จะมีขึ้นในปี 2570

ชูแคมเปญ“เท้ง ทั่ว ไทย” 

โดยพรรคประชนได้ปรับยุทธศาสตร์พรรคใหม่ ด้วยการชูแคมเปญ “เท้ง ทั่ว ไทย” เดินสายพบประชาชนทั่วประเทศ ซึ่ง นายณัฐพงษ์ อธิบายว่า ในฐานะหัวหน้าพรรค สิ่งที่ต้องทำในฐานะหัวหน้าพรรค คือ ต้องลงไปเก็บเกี่ยวปัญหา สอบถามประชาชน เพื่อให้มีองค์ความรู้พัฒนานโยบายพรรคได้ดียิ่งขึ้น 

ในส่วนของลูกพรรค สส.พรรคประชาชนทุกคน สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ วางความเป็นผู้แทนราษฎรให้ชัดเจน คงไม่ได้หมายถึงทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเดียว หรือขับเคลื่อนงานในสภาฯ อย่างเดียว แต่คือการทำงานในพื้นที่ 

“เวลาประชาชนมีปัญหา ทำอย่างไรให้รับรู้ว่า สส.อยู่กับเขาตลอดเวลา ดังนั้น ต้องถอดบทเรียน และสื่อสารกันภายในพรรค ใช้เวลาต่อจากนี้อีก 2 ปีกว่า ๆ ทำอย่างไรให้ สส.เขต และ สส.บัญชีรายชื่อ ใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น เพื่อให้ใกล้ชิดกับโหวตเตอร์อีกกลุ่มที่เขาไม่เคยเลือกเรา ให้มาเลือกเรา” 

หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า แคมเปญนี้ ได้นำร่องไปแล้วที่เขตบางแค กทม. ซึ่งได้ลงพบปะประชาชน เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2567 เพราะที่ผ่านมา เพราะเป็นเขตที่ตนเองเคยลงสมัครเลือกตั้ง และได้เป็น สส.ที่เขตนี้ มาก่อน 

หลังจากนั้นกลางเดือน พ.ย. 2567 จะเดินทางลงไปภูเก็ต กระทั่งจนถึงสิ้นปี 2567 จะไป 20 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาค โดยเดินสายทำภารกิจหลายอย่างไปพร้อมกัน ทั้งไปดูปัญหา การสร้างพรรค รวมถึงการทำการเมืองท้องถิ่นด้วย ทำพร้อม ๆ กันไปทุกเรื่อง

หวังคะแนนโหวตเตอร์ใหม่ 

ส่วนจะทำอย่างไร และใช้เวลาแค่ไหน ในการทำให้คะแนนนิยมของตัวเอง และพรรคประชาชนกลับมาเหมือนยุคอนาคตใหม่ และ ก้าวไกล นายณัฐพงษ์ ตอบว่า อาจตอบในแง่เวลาได้ไม่ชัด เพราะเมื่อไหร่เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง หรือ มีการยุบสภา พรรคประชาชนเดินหน้าเต็มที่อยู่แล้ว 

แต่ถ้าพูดถึงไทม์ไลน์ปกติ ช่วงเวลา 2-3 ปีต่อจากนี้ก่อนปี 2570 ตนต้องร่วมมือกับ นายศรายุทธ ใจหลัก เลขาธิการพรรค ในการแก้โจทย์หลายเรื่องของพรรค เช่น อาจมีประชาชนไม่รับทราบข่าวสาร เราต้องทำงานในพื้นที่กับประชาชนมากขึ้น 

“ทำอย่างไรโหวตเตอร์เดิม ไม่เคยโหวตให้พรรคเรามาก่อน มาโหวตเรามากขึ้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เราอาศัยการทำงานในพื้นที่” 

เป้ากวาดสส. 270 ที่นั่ง

หัวหน้าพรรคประชาชน ยังกล่าวถึงเป้าหมายของพรรคในอนาคตว่า ทำอย่างไรให้การเลือกตั้งปี 2570 เราได้รับความนิยมเกินครึ่งหนึ่ง (ได้สส.มากกว่า 250 ที่นั่ง จาก 500 ที่นั่ง) ยกตัวอย่าง เราต้องการคะแนนป๊อปปูล่าร์โหวต 20 ล้านเสียง จะทำให้ได้ สส.บัญชีรายชื่อ เพิ่มเติมอีก 50 ที่นั่ง 

ดังนั้น ถ้าเป้าหมายการเลือกตั้งปี 2570 ของเราคือ นำ สส.เข้าสภาฯ 270 คน จะต้องหา สส.เขตให้ได้ 220 คน หากเทียบกับปัจจุบันที่มี สส.เขตราว 100 กว่าคน ดังนั้นต้องหาเพิ่มอีก 100 กว่าคนเพื่อให้ครบ 220 คน 

“เราต้องทำงานในพื้นที่มากขึ้น เราจะหวังจากคะแนนเสียงเดิมของพรรคไม่ได้ เราต้องขยายฐานความนิยม จากอุบัติเหตุทางการเมือง จากก้าวไกล มาพรรคประชาชน ไม่ว่าปัจจัยอะไรก็ตามแต่ ในช่วงสั้น ๆ ที่ไม่ได้ต่อเนื่อง หน้าที่ของพรรคประชาชน คือต้องลงไปทำงานให้ต่อเนื่องขึ้น” นายณัฐพงษ์ ระบุ

                               “พรรคประชาชน”คิดการใหญ่กวาด 270 สส. ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

3 ยุทธศาสตร์ดึงโหวตเตอร์

ส่วนที่บางคนติดภาพจำของพรรคว่า เน้นเรื่องนโยบายแก้ไขมาตรา 112  แก้อำนาจองค์กรอิสระ ถ้าหากพรรคปรับเปลี่ยนนโยบาย หรือผ่อนปรน จะลดภาพจำของโหวตเตอร์อีกฝั่งให้มาเลือกเราได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ อธิบายว่า ตั้งแต่ก้าวไกล ถึงพรรคประชาชน เราไม่เคยโฟกัสเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ยกตัวอย่าง 300 นโยบาย เราเสนอหมดทั้งแพ็คเกจ ไม่เคยโฟกัสเรื่องใดเป็นหลัก 

สำหรับยุทธศาสตร์ทำงานต่อจากนี้ คือการเข้าถึงโหวตเตอร์กลุ่มอื่นที่ไม่เคยเลือกเรา แบ่งเป็น 3 ข้อ 

1.ทำหน้าที่ในพื้นที่ ทำอย่างไรรักษาเขตเดิม แล้วขยายเขตใหม่ได้ 

2.การสื่อสาร ทุกครั้งมีคอมเมนต์ไปยังรัฐบาล ต้องมีข้อเสนอที่ดีกว่า เพื่อจะได้สื่อสารโหวตเตอร์อีกกลุ่มว่า เราไม่ใช่ฝ่ายแค้น แต่เป็นฝ่ายค้านเชิงรุก เพื่อพิสูจน์ว่าวันหนึ่งหากเราเป็นรัฐบาล เราพร้อมส่งมอบนโยบายอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้ประชาชนได้มากขึ้น 

3.การรักษาจุดยืนทางการเมือง ตรงไปตรงมา เคยพูดอย่างไรก่อนหาเสียง หลังหาเสียงก็ทำแบบนั้น และรักษาอุดมการณ์แบบเดิม 

“เมื่อใดที่เสียข้อ 3.ไป ฐานโหวตเตอร์ที่เติบโตมากับเรา ก็สูญเสียไปด้วย ดังนั้นเราไม่ได้โฟกัสนโยบายใดนโยบายหนึ่ง จะรักษาไว้หรือไม่ หรือละทิ้งดี ไม่ได้เป็นเรื่องเราไปติอย่างเดียว แต่เราต้องมีข้อเสนอด้วย รวมถึงการทำงานในพื้นที่ ทั้งหมดสำคัญไม่แพ้กัน ต้องทำพร้อมกันหมด” หัวหน้าพรรคประชาชน ระบุ

โพลไม่กระทบเลือกตั้งครั้งหน้า

นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึงผลสำรวจนิด้าโพล ที่คะแนนของ “อิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นอันดับ 1 ส่วนตนเองอยู่อันดับ 3 ว่า หน้าที่ของพรรคการเมือง วันใดเทรนด์ หรือ คะแนนนิยมของพรรคถึงจุดสูงสุด สิ่งที่เราต้องทำคือ ห้ามประมาท 

แต่ถ้าอยู่ในแนวโน้มคะแนนลดลง ต้องเก็บฟีดแบ็กมาปรับปรุงตัวเอง จากการสำรวจความเห็นของนิด้าโพล ต้องขอบคุณคนแสดงความเห็น ในฐานะหัวหน้าพรรค จะเก็บความเห็นมาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มองย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากพรรคอนาคตใหม่ เป็นพรรคก้าวไกลช่วงแรก คะแนนนิยม ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ทำควบคู่กับคณะก้าวหน้า บรรยากาศคล้าย ๆ ตอนนี้ คะแนนนิยมก็ยังไม่กลับมา จนกระทั่งถึงการเลือกตั้งปี 2566 

ฉะนั้น จะเห็นว่า ในปี 2566 พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับหนึ่งได้ เช่นเดียวกันผลโพลที่ออกมา ดังนั้นต้องเก็บฟีดแบ็ก เป็นช่วงเหตุการณ์ บริบทเปลี่ยนแปลงไป ยืนยันไม่กระทบการเมืองภาพใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

แจงปมไม่มีแม่เหล็กดึงดูด

สำหรับประเด็นที่คนมองว่าพรรคประชาชนไม่มี “แม่เหล็กดึงดูด” อย่างเดิม เช่น สมัยอนาคตใหม่ มี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สมัยก้าวไกล มี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นั้น นายณัฐพงษ์ ตอบว่า การวิเคราะห์เป็นหน้าที่ของประชาชน หรือ นักวิเคราะห์ทางการเมืองต่าง ๆ 

“ผมเป็นผู้เล่นคนหนึ่ง ถ้าให้วิเคราะห์ตัวเอง คงต้องทำงานให้ดียิ่งขึ้น ส่วนปัจจัยที่กระทบคะแนนความนิยม หรือ ผลการเลือกตั้ง มีหลายปัจจัย เช่น สนามการเลือกตั้งซ่อม หรือ เหตุการณ์ยุบพรรคก็ตาม หลายปัจจัยเป็นองค์ประกอบหมด เราคงไม่ได้ไปโทษ หรือบอกว่าเป็นเพราะปัจจัยต่าง ๆ แต่สิ่งที่ทำต่อคือ ยอมรับ และเดินหน้าทำงานต่อ”

หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวด้วยว่า สมัยก้าวไกล หรืออนาคตใหม่ ก็มีประเด็นเหล่านี้มาโดยตลอด ถ้าดูเหตุการณ์ต่อเหตุการณ์ ถามว่ามีปัจจัยบ้างหรือไม่ ตอบตามข้อเท็จจริงก็ตอบว่ามีบ้าง แต่ไม่กระทบภาพใหญ่ 

พอย้อนกลับไปสนามการเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 ก็พิสูจน์แล้ว พอเข้าสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่ แต่ละพรรคเสนอจุดยืนนโยบาย ตรงนั้นคือสนามตัดสิน เพียงแต่วันนี้จนถึงวันนั้น การทำงานปูพื้นของพรรคสำคัญมากกว่า

เร่งสื่อสารต่อประชาชน

ส่วนที่ประชาชนบางคนยังไม่ทราบว่า “ณัฐพงษ์” คือหัวหน้าพรรค นายณัฐพงษ์ อธิบายว่า ลองมองย้อนกลับไปสมัย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลใหม่ ๆ ก็เช่นเดียวกัน เป็นข้อเท็จจริง ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประชาชนหาเช้ากินค่ำ ถ้าไม่ได้เข้าสู่โหมดเลือกตั้งทางการ เขาไม่ได้ติดตามข่าวสารมากนัก 

แต่คนส่วนใหญ่รับรู้แล้วมีพรรคประชาชนเกิดขึ้น คนตามชุมชน ต่างจังหวัด หรือพื้นที่ห่างไกล อาจไม่ได้ติดตามข่าวสารครบถ้วน ตนคงไม่กล้าการันตีว่าคนหลายสิบล้านคนรับทราบข่าวสารหมดแล้ว นี่คือข้อเท็จจริง บริบททางการเมืองหลังถูกยุบพรรค เราจะต้องสื่อสารต่อประชาชนให้มากยิ่งขึ้น

ต่อกรณีผลสำรวจของนิด้าโพล ล่าสุด ที่ แพทองธาร ชินวัตร คะแนนนำเพราะนโยบายของรัฐบาล เช่น แจกเงินหมื่นบาท หรือ 30 บาทรักษาทุกที่ คิดว่าเกี่ยวหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ตอบว่า ผลงานอะไรที่รัฐบาลทำได้ดี ย่อมส่งผลคะแนนนิยมขึ้นหรือลงด้วย เป็นเรื่องปกติของการทำหน้าที่ 

“ผมขอทำหน้าที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน เช่น การอภิปรายเรื่องเปลี่ยนแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เป็นการแจกเงินสด หรือ แม้แต่การลงทุน เราเห็นว่าควรลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว รวมถึงการกระจายทุนไปต่างจังหวัด พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประชาชน เป็นต้น” หัวหน้าพรรคประชาชน ระบุ