"จตุพร"จี้เปิดภาพ"ทักษิณ"ไขข้อสงสัยสังคม ติงไม่เสมอภาคเว้นกล้อนผม

25 ส.ค. 2566 | 10:10 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ส.ค. 2566 | 10:10 น.
649

"จตุพร"จี้เปิดภาพ"ทักษิณ"ไขข้อสงสัยสังคม ติงไม่เสมอภาคเว้นกล้อนผม ชี้ทุกมุมคุกติดกล้องวงจรปิดเฝ้าดูนักโทษใช้ชีวิต ระบุยิ่งปกปิดทำลับล่อยิ่งย่อมก่ออันตรายบั่นทอนรัฐบาลเศรษฐา

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ไลฟ์ออนไลน์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ด้านได้" โดยระบุถึงการที่สังคมสงสัยการดูแลรักษานายทักษิณ ชินวัตร ที่ รพ.ตำรวจ จะสั่นคลอนเสถียรภาพ"รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน"ให้พังเร็วขึ้น เพราะกังขาอาการป่วยจะไม่จริง แต่เป็นการสมยอมช่วยให้นักโทษคดีร้ายแรงได้คุมขังที่ รพ.ตำรวจ แล้วส่อแนวโน้มส่งไปต่อที่ รพ.เอกชน

ทั้งนี้ เมื่อนายทักษิณ เข้าคุก การทำประวัตินักโทษอาจลัดขั้นตอนได้ และหากส่งตัวไปอยู่ในเรือนพยาบาล แดน 7 ซึ่งมีกล้องวงจรปิดทุกจุด สามารถมองเห็นนักโทษใช้ชีวิตในห้องคุมขังได้ทั่วถึง การใช้ชีวิตในคุกจะมีกล้องวงจรปิดคอยเฝ้าควบคุมอยู่ทุกจุด ตั้งแต่อาบน้ำ กินข้าว เปลี่ยนเสื้อผ้า 

หากนายทักษิณมีอาการป่วย ความดันกำเริบเมื่อเที่ยงคืนครึ่งแล้ว ต้องมีภาพการใช้ชีวิตก่อนอาการกำเริบปรากฏแล้วมีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการวินิจฉัยโรค อีกทั้งการนำตัวออกมาก็จะมีภาพจากกล้องบันทึกไว้หมด ซึ่งขอดูเป็นหลักฐานได้

"จะทำอะไรก็ตาม ชีวิตในคุกต้องไม่ลืมว่ามีกล้องวงจรปิดนะ ซึ่งโกหกไม่ได้ตั้งแต่นักโทษเข้าเรือนจำ ตนในฐานะติดคุก 5 ครั้งย่อมรู้ดี จึงมีข้อสงสัยมากมายกับกรณีของอดีตนายกฯ ทักษิณ เช่น เกิดอาการป่วยเมื่อเที่ยงคืนครึ่งจริงหรือไม่ หรือเวลาตีหนึ่งจริงหรือไม่ อีกทั้งกล้องที่ รพ.ตำรวจ ต้องมีภาพถ่ายด้วยเช่นกัน โดยสามารถตรวจสอบช่วงเวลาทั้งเข้า รพ.ตำรวจ กับนำตัวออกจากเรือนจำได้อย่างดี แล้วจะเห็นถึงสภาพการเข้า รพ.ตำรวจ ด้วยสภาพดี หรือป่วย อีกอย่างในชั้นดูแลนั้นมีผู้ป่วยอื่นอยู่หรือไม่ และห้องแอร์เสียจริงหรือไม่"

อย่างไรก็ดี หากนายทักษิณเจ็บป่วยจริงย่อมไม่ว่ากัน และไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่หากสงสัยว่า ป่วยไม่เป็นจริงแล้ว จะยอมรับกันได้หรือไม่ต่อการปฏิบัติกับนักโทษทุกคนอย่างเสมอภาคกัน

นายจตุพร ยังได้กล่าวถึง 4 โรคกลุ่มเปราะบางของนายทักษิณด้วยว่า ถ้าได้บอกประชาชนก่อนเดินทางมาว่า เป็นโรคหัวใจ ปอด ความดัน และหมอนรองกระดูก แต่ทุกเรื่องนี้เต็มไปด้วยข้อสงสัยตั้งแต่ต้น อีกอย่างแกนนำเพื่อไทยที่ไปรับที่สนามบินดอนเมืองในวันกลับมาก็กล่าวชมสุขภาพแข็งแรง 

อีกอย่างในวันกลับไทยนั้น นายทักษิณ ไม่มีวีแววว่าจะเป็นผู้ป่วยขั้นวิกฤตตามที่กล่าวอ้างว่า แทบไม่มีเสียง ต้องให้ออกซิเจนตลอดเวลานั้น ถ้าอาการเป็นเช่นนี้จะอยู่ที่ รพ.ตำรวจ ห้องชั้น 14 ไม่ได้ ต้องเข้าห้องไอซียู เพราะอาการหนัก และจะอยู่ในห้องที่ใช้พัดลม และไม่มีอากาศหายใจได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งผิดธรรมชาติ

"เมื่อ หมอใหญ่ รพ.ตำรวจ บอกอาการทักษิณขั้นวิกฤต มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ มีปัญหาความดัน ดังนั้นผู้ป่วยก็ต้องการอากาศ แล้วจะให้อยู่ห้องแอร์เสียหายใจไม่ออกได้อย่างไร และมีปัญหาแอร์ต้องเปลี่ยนห้องทันที ซึ่งต้องเข้าห้องไอซียู แล้วหมอใหญ่ใช้ดุลพินิจอย่างไรจึงให้อยู่ห้องแอร์เสีย แล้วใช้พัดลม 2 ตัวมาพัดอีก"

เมื่อมีข้อสงสัยว่าแอร์เสียจะไป รพ.เอกชน สังคมจึงเกิดเสียงดังกันไปหมด แต่ รพ.ตำรวจ ห้องที่เข้าพักนั้น ผู้รู้บอกว่า รพ.เอกชน หลายแห่งสู้ไม่ได้เลย ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นกับนายทักษิณจึงสอดคล้องกันกับที่ออกจากไทยรอบหลัง 15 ปี เพราะไม่ต้องการติดคุกแม้แต่วันเดียว และก็ได้รับจริงๆ เมื่อกลับมาแล้วเข้าคุกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเอง 

สิ่งสำคัญนั้น ถ้านายทักษิณป่วยจริงก็ไม่มีปัญหา แต่ความสงสัยนั้นประเทศนี้ควรมีอะไรที่ตรงไปตรงมาสักเรื่องได้หรือไม่ เพราะประชาชนถูกหลอกกันอยู่เรื่อยตั้งแต่การตั้งรัฐบาล จนมาถึงนายทักษิณกลับมารับโทษตามกฎหมาย แต่กลายเป็นไม่สามารถหาความจริงได้สักข้อเลย

"ดังนั้นปัญหามีว่าคุณมองประชาชนเป็นประชาชนหรือเปล่า หรือมองเป็นควาย ไม่อยากตั้งคำถามกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ท่านได้คุยกับทักษิณแล้วหรือยัง แต่เอาเป็นว่า กรณีนักโทษทักษิณ อะไรก็ตามที่ไม่ตรงไปตรงมา อย่าให้ไม่จริงเสียร้อยเปอร์เซ็นต์ ควรจะมีความจริงอย่างที่ควรจะเป็นกันบ้าง"

นายจตุพร ยกความเสมอภาคของนักโทษว่า เอาแค่เรื่องง่ายๆ กับการกล้อนผมก็ต้องทำเหมือนนักโทษทั่วไปเป็นปกติ เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอายุมากหรือน้อย แต่หลักแล้วก็ต้องก้อนผม ดังนั้นความเสมอภาคของนักโทษคือการกล้อนผมสั้นทุกคน