ศรีสุวรรณ ยื่นกกต. สอบ "สุวัจน์-กรณ์" ครอบงำพรรคการเมืองหรือไม่

05 ก.ย. 2565 | 15:15 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ก.ย. 2565 | 22:43 น.

ศรีสุวรรณ ยื่นคำร้องต่อ กกต.ให้ สอบ"สุวัจน์-กรณ์" ร่วมกันแถลงข่าวจับมือทางการเมือง เข้าข่ายครอบงำ ชี้นำ พรรคการเมืองให้ขาดอิสระหรือไม่

วันที่ 5 ก.ย.2565 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อขอให้ไต่สวน สอบสวนนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา และนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ที่ร่วมกันแถลงข่าวจับมือทางการเมือง (อันมิใช่การการแถลงว่าเป็นการรวมพรรค)

 

โดยนายกรณ์จะเข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคชาติพัฒนา และอาจเป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาในอนาคต ทั้งๆที่ตามกฎหมายนายกรณ์ ยังมีสถานะเป็นสมาชิกและหัวหน้าพรรคกล้าอยู่

นายกรณ์ จาติกวณิช

 

การที่ประธานพรรคชาติพัฒนา ยินยอมให้นายกรณ์ ซึ่งยังมิได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกและหัวหน้าพรรคกล้าก่อนนั้น ชี้ให้เห็นว่า พรรคชาติพัฒนาอาจเข้าข่ายยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้ พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม อันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตาม ม.28 แห่ง พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่
 

 

ทั้งนี้ หาก กกต.วินิจฉัยว่ามีความผิดจริง ซึ่งตาม พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ม.92(3)  บัญญัติไว้ชัดเจนว่าการกระทำเช่นนี้ อาจเป็นหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองดังกล่าวกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตาม ม.28 จะเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะต้องดำเนินการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวต่อไปได้

ในขณะเดียวกัน การที่นายกรณ์ แถลงยืนยันต่อหน้าสื่อมวลชนว่า ตนมาแถลงข่าวเกี่ยวกับการดําเนินกิจกรรมของพรรคของพรรคชาติพัฒนา เป็นการมาในฐานะส่วนตัว นั้น จึงอาจเป็นการชี้ได้ว่า นายกรณ์  ยังมิใช่สมาชิกพรรคชาติพัฒนา แต่กลับมาร่วมกระทําการ อันมีลักษณะเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่า โดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม

 

อันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตาม ม.29 แห่ง พรป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ซึ่งอาจมีความผิดตาม ม.108 ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 1 – 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นได้


ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจำต้องนำความมาร้อง กกต.เพื่อให้วินิจฉัยกรณีดังกล่าว เพื่อเป็นบรรทัดฐานทางการเมืองต่อไป