“สนธิรัตน์"หวั่นสงคราม รัสเซีย-ยูเครนกระทบศก.ไทย เตือนรัฐบาลเป็นกลาง 

24 ก.พ. 2565 | 21:54 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.พ. 2565 | 05:00 น.

"สนธิรัตน์" หวั่นสงคราม "รัสเซีย-ยูเครน" กระทบต่อเศรษฐกิจไทย เตือน "รัฐบาล" วางตัวเป็นกลาง มุ่งสร้างสันติภาพ

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรมว.พลังงาน ใผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย ระบุว่า ในเวลานี้คงไม่มีข่าวต่างประเทศไหนเป็นที่น่าจับตามองและติดตามเท่ากับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซีย – ยูเครน” อีกแล้วครับทุกท่าน 

 

และล่าสุดข่าวก็ออกมาว่ารัสเซียเริ่มใช้กำลังทหารกับยูเครนแล้ว พร้อม ๆ กับที่บรรดาชาติตะวันตกต่างพยายามหาทางตอบโต้ด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อกดดันให้รัสเซียหยุดยั้งการปฏิบัติการในครั้งนี้
 

“ที่ผมพูดถึงเรื่องนี้เพราะว่า แม้จะไกลจากบ้านเรา แต่ประเทศไทยจำเป็นมากครับ ที่จะต้องแสดงท่าทีและวางตัวให้เหมาะสม เพราะนี่ไม่ใช้ปัญหาเพียงแค่รัสเซียกับยูเครน แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวโยงอย่างซับซ้อนในการเมืองระหว่างประเทศ และประเทศไทยของเราก็เกี่ยวข้องไม่น้อย”

 

 

เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บทบาทที่สำคัญของไทยคือการเป็นมหามิตรของทั้งฝากฝั่งของรัสเซียมายาวนานนับร้อยปีจนถึงปัจจุบัน แม้กระทั่งในช่วงเวลาที่เป็นสหภาพโซเวียต ไทยเราก็เป็นมิตรที่ดีเสมอมา 
 

และในฝากฝั่งของสหรัฐอเมริกา ผู้นำโลกเสรี และบรรดาชาติตะวันตก ทั้งเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพันธมิตรที่ดีเสมอมาของไทย ทั้งเรื่องการเมืองระหว่างประเทศและทางการค้า นี่ยังไม่นับมิตรรักของรัสเซียอย่างประเทศจีน ที่ก็สำคัญมาก ๆ ต่อเศรษฐกิจไทย
 

“ขนาดคู่ขัดแย้งโดยตรงอย่างยูเครนเองก็เป็นมิตรที่ดีของเรานะครับ มีการติดต่อค้าขายและร่วมมือกันหลายประการ ทั้งเชิงพาณิชย์และความมั่นคงมาตั้งแต่สมัยผมเป็นรัฐมนตรี”

 

เห็นไหมครับ ว่าประเทศของเราลำบากเหมือนกันในวางตัวให้เหมาะสม

“ในความคิดเห็นของผม เราต้องไม่นิ่งเฉยครับ ประเทศของเราควรมีจุดยืนในการอยู่ข้างประชาคมโลกและความถูกต้องครับ แน่ละว่าสหรัฐอเมริกาคือคู่ค้ารายใหญ่ของไทย ชาวรัสเซียเองคือหนึ่งในแรงหนุนขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย 
 

ดังนั้นเราจะแสดงท่าทีอย่างไรก็ต้องทบทวนให้ดีครับ เพราะเราต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศเอาไว้ แต่จะเฉยเสียทำเป็นทองไม่รู้ร้อนก็ไม่ได้”
 

เพราะนอกจากการดำเนินการทางการทูตและการเมืองระหว่างประเทศเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจแล้ว อีกภาระหน้าที่หนึ่งของประเทศไทยคือความรับผิดชอบต่อประชาคมโลกครับ อย่างน้อยที่สุดเราก็ต้องเป็นกลางและอยู่ข้างความถูกต้องครับ
 

“ผมเชื่อว่าท่ามกลางความขัดแย้งนี้ เราสามารถที่จะรักษาผลประโยชน์ของเราไปพร้อม ๆ กับอยู่ข้างความถูกต้องได้ครับ เราสามารถที่จะสนับสนุนให้เกิดสันติภาพได้ ไม่ใช่ในฐานะมิตรของฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แต่เป็นในฐานะของสมาชิกประชาคมโลก 
 

เราสามารถที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับทุกฝั่งฝ่ายได้ไปพร้อม ๆ กับการไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงและความขัดแย้งครับ ผมเชื่อว่าตลอดมาในประวัติศาสตร์ไทย นักการทูตของเรานั้น “ชั้นอ๋อง” ไม่แพ้ใครในโลกครับ และจะสามารถรักษาผลประโยชน์ของชาติไปพร้อม ๆ กับวางบทบาทไทยได้อย่างเหมาะสมไม่ยากแน่นอนครับและในโอกาสนี้ผมในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมโลกเช่นเดียวกัน ก็ขอให้สันติภาพจงบังเกิดขึ้นโดยเร็ววันครับ”