ผงะ!ผลสำรวจพบแพทย์อินเดียแค่ 7% รู้ถึงความก้าวหน้าต่อต้านการสูบบุหรี่

25 ธ.ค. 2566 | 13:35 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ธ.ค. 2566 | 13:35 น.

ผงะ!ผลสำรวจพบแพทย์อินเดียแค่ 7% รู้ถึงความก้าวหน้าต่อต้านการสูบบุหรี่ ระบุเป็นข้อมูลจากแพทย์ที่มีประสบการณ์อย่างน้อยสามปีจำนวน 200 คน เผยทำให้เกิดสถิติใหม่โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุพบบ่อยสุดในผู้ป่วย

อุปสรรคสําคัญต่อความพยายามของประเทศอินเดียในการต่อสู้กับการเสพติดผลิตภัณฑ์ยาสูบคือการที่มีแพทย์เพียง 7% เท่านั้นที่ตระหนักถึงพัฒนาการล่าสุดของเทคนิคการต่อต้านการสูบบุหรี่ 

ทั้งนี้ ผลการสํารวจโดย Indian Medical Academy for Preventive Health (IMAPH) ซึ่งใช้ข้อมูลจากการสํารวจแพทย์ที่มีประสบการณ์อย่างน้อยสามปีจำนวน 200 คน เผยให้เห็นการค้นพบที่น่าตกใจ

โดยในนิวเดลีมีแพทย์เพียง 7% ที่มีความตระหนักเกี่ยวกับพัฒนาการล่าสุดในกลยุทธ์การต่อต้านการสูบบุหรี่ ซึ่งนับเป็นความท้าทายสําคัญต่อความพยายามของประเทศอินเดียในการต่อสู้กับการเสพติดยาสูบ 
 

ซึ่งการศึกษาที่จัดทําโดยสถาบันการแพทย์อินเดียเพื่อการป้องกันสุขภาพ (IMAPH) ระบุว่า การศึกษาที่อ้างอิงจากการสํารวจแพทย์ที่มีประสบการณ์อย่างน้อยสามปีจำนวน 200 คนนํามาซึ่งสถิติใหม่ โรคหัวใจและหลอดเลือดกลายเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วย ซึ่งพบอยู่ที่ 12% และเน้นย้ำให้เห็นถึงความจําเป็นและความเร่งด่วนสําหรับการแทรกแซงการต่อต้านการสูบบุหรี่ 

ศาสตราจารย์ Chandrakant S Pandav อดีตหัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชนที่ AIIMS-New Delhi แสดงความกังวลโดยระบุว่า การสํารวจให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความสำคัญของแพทย์ในการจูงใจผู้สูบบุหรี่ให้เลิกบุหรี่ และเน้นย้ำถึงความจําเป็นในการเพิ่มความตระหนักรู้และการฝึกอบรมในการใช้กลยุทธ์เพื่อต่อต้านการสูบบุหรี่ เรียกได้ว่าผลการสํารวจนี้จุดประกายว่าเราจําเป็นต้องลดช่องว่างของการตระหนักรู้ของแพทย์ เพื่อต่อสู้กับอันตรายจากยาสูบอย่างมีประสิทธิภาพ

ดร. M Wali ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการแพทย์ของโรงพยาบาล Sir Ganga Ram ยังเน้นย้ำถึงความสําคัญของผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ ที่จำเป็นต้องได้รับข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการเลิกบุหรี่ที่ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน โดยกล่าวว่า ยังคงยึดประสิทธิผลเป็นหลักในการพิจารณาว่าควรแนะนำวิธีการต่อต้านการสูบบุหรี่ที่มีความจำเพาะในแต่แง่ของวัฒนธรรมและภูมิภาค ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการจัดตั้งนโยบายที่อ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นการติดอาวุธให้กับแพทย์ด้วยทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในการต่อสู้กับการเสพย์ติดบุหรี่ ดังนั้น แพทย์เองก็ควรติดตามพัฒนาการล่าสุดของวิธีช่วยเลิกบุหรี่ เพื่อที่จะให้คำแนะนำที่ดีที่สุดได้ สิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อการควบคุมยาสูบที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งประสบความสำเร็จในการนำไปปรับใช้ในต่างประเทศ
 

การศึกษายังชี้ให้เห็นว่า แพทย์ควรสอบถามอย่างจริงจังเกี่ยวกับการบริโภคยาสูบของผู้ป่วยทุกครั้ง นอกจากนี้ ทางเลือกใหม่ๆ เช่น บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน อาจมีบทบาทสําคัญในการทดแทนบุหรี่และการลดภาระการติดยาสูบในอินเดีย ในฐานะประเทศที่มีผู้บริโภคยาสูบมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลกด้วยจำนวนกว่า 275 ล้านคน อินเดียต้องเผชิญกับความท้าทายใหญ่หลวง 

จากข้อมูลการสํารวจการบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ทั่วโลก (Global Adult Tobacco Survey) ระบุว่า มีเพียง 55.4% ของผู้สูบบุหรี่เท่านั้นที่เคยพิจารณาหรือตั้งใจที่จะเลิกบุหรี่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจําเป็นเร่งด่วนสําหรับกลยุทธ์การต่อต้านการสูบบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดร. J Kumar ที่ปรึกษาทางการแพทย์ของ IMAPH เน้นย้ำถึงความจําเป็นเร่งด่วนสําหรับการต่อต้านการเสพติดยาสูบ ด้วยจำนวนแพทย์เพียง 7% ที่ทราบถึงความก้าวหน้าในการต่อต้านยาสูบล่าสุด ตัวเลขนี้ส่งสัญญานไม่เพียงแต่ช่องว่างด้านความรู้ แต่ยังเป็นการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

อีกทั้งยังพบว่าผลสำรวจนั้นเป็นเหมือนเข็มทิศที่ชี้ให้พัฒนาจากการตระหนักรู้ไปสู่การปฏิบัติจริง การให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพก่อนต้นทุน และการยอมรับวิธีการใหม่ๆ เช่น พฤติกรรมบำบัด สามารถช่วยลดช่องว่างและขับเคลื่อนแพทย์อินเดียไปสู่การเป็นแนวหน้าของยุคปลอดบุหรี่ของอินเดีย

ผลการวิจัยยังเน้นย้ำถึงความสําคัญของการกําหนดนโยบายที่อิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมให้แพทย์นักวิจัยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถแนะนําทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าได้

อินเดียจะสามารถก้าวไปสู่การบรรลุเป้าหมายในการลดการบริโภคยาสูบลง 30% ภายในปี 2025 ได้ด้วยการตระหนักและแก้ไขปัญหาในเรื่องของกระตระหนักรู้และการผลักดันนโยบายที่มีประสิทธิภาพ