เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศศาลปกครอง เรื่อง คําพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนกฎ
ด้วยศาลปกครองสูงสุดได้มีคําพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ อ.๕๐/๒๕๖๘ ระหว่าง นางสุภา โชติงาม หรือ จอมพันธ์ ผู้ฟ้องคดี กับ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) ที่ ๑ กับพวก รวม ๒ คน ผู้ถูกฟ้องคดี ให้เพิกถอนประกาศสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เรื่อง กําหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. ๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓
และประกาศสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เรื่อง การกําหนด จํานวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสําหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถ หรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ. ๒๕๖๖ ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๖ โดยให้มีผลนับตั้งแต่ วันที่พ้นกําหนด ๑๘๐ วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุด มีคําพิพากษา
จึงประกาศให้ทราบทั่วกัน
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๘
สรรค์พงศ์ ฐิติกรทับทอง
ตุลาการศาลปกครอง
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในคดีที่นางสุภา โชติงาม ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กับผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) ว่า ร่วมกันออกประกาศประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค. 2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ดังกล่าวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จากเดิมที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนประกาศ ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว โดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ออกประกาศ เป็นการพิพากษาเพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค. 2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 23 มี.ค. 2566
โดยให้มีผลนับแต่วันที่พ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาแทน
ศาลให้เหตุผลว่า แม้ว่าการออกประกาศทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว เป็นการออกประกาศขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งคัดค้าน อีกทั้งทำให้ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้รับการพิจารณาโทษตามข้อเท็จจริง หรือพฤติการณ์แห่งการกระทำ ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และกฎหมายจราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้น มุ่งควบคุมกำกับการใช้รถให้เกิดความปลอดภัย ส่งเสริมวินัยจราจร และให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดตามพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดด้วยความเสมอภาค
เนื่องจากรูปแบบใบสั่งที่กำหนดขึ้นใหม่ ตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 “ได้ตัดสาระสำคัญในส่วนของการปฏิเสธการกระทำความผิดตามใบสั่ง บันทึกของผู้ต้องหา และบันทึกของพนักงานสอบสวน กำหนดไว้เพียงวิธีการชำระค่าปรับด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมทำให้ผู้รับใบสั่งเข้าใจว่า ตนมีหน้าที่ต้องชำระค่าปรับเท่านั้น”
นอกจากนี้ การที่ ผบ.ตร. ออกประกำหนดจำนวนค่าปรับเกี่ยวกับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 20 ก.ค. 2563 เป็นการล่วงหน้าในอัตราคงที่แน่นอนตายตัว นั้น ไม่ได้มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจว่า
กรณีที่ผู้ขับขี่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก หรือ กฎหมายอื่นเกี่ยวกับรถ หรือ การใช้ทาง การกระทำของผู้ขับขี่ดังกล่าว สมควรที่เจ้าพนักงานจราจรจะว่ากล่าวตักเตือน เช่น กรณีมีเหตุจำเป็น หรือ เป็นการกระทำความผิดครั้งแรก
หรือ การกระทำของผู้ขับขี่สมควรที่เจ้าพนักงานจราจร จะออกใบสั่งให้ผู้นั้นชำระค่าปรับหรือไม่ และเป็นจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้เป็นจำนวนเท่าใด หรือแม้แต่กรณีที่ไม่พบด้วยตนเอง หรือเป็นการใช้เครื่องอุปกรณ์ต่างๆ
“เจ้าพนักงานจราจรย่อมมีดุลพินิจดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน จึงเป็นกรณีที่ ผบ.ตร. ใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าปรับกับผู้กระทำความผิดแทนเจ้าพนักงานจราจร หรือ เจ้าพนักงานในตำแหน่งอื่น ขัด พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคดีนี้ ศาลจะวินิจฉัยว่าประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิพาทดังกล่าวจะไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่โดยที่เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ให้เหตุผลว่า
“ปัจจุบันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนของประเทศ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่ผู้ขับขี่ขาดวินัยในการใช้รถใช้ถนน และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก กรณีจึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน ในการจราจรและประโยชน์สาธารณะ ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิพาทในคดีนี้ จึงถือเป็นเครื่องมือ หรือ มาตรการสำคัญอย่างหนึ่งในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานจราจร ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ประกอบกับปัญหาความไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ผบ.ตร. สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ โดยการกำหนดรูปแบบใบสั่งให้มีข้อความคำเตือน ดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาก่อน และกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้ ให้มีลักษณะที่เจ้าพนักงานจราจรสามารถใช้ดุลพินิจให้เป็นไปตามกฎหมายจราจรทางบก ว่ากล่าวตักเตือน หรือ ใช้ดุลพินิจในการกำหนดจำนวนค่าปรับไม่เกินจำนวนที่ ผบ.ตร. กำหนดตามที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก บัญญัติไว้ได้“
เช่น กรณีฐานความผิด ไม่ขับรถด้วยอัตราความเร็วตามที่กำหนดในกฎกระทรวง หรือ ตามเครื่องหมายจราจรที่ติดตั้ง จำนวนค่าปรับ ควรกำหนดเป็นครั้งที่ 1 ว่ากล่าวตักเตือน หรือใช้ดุลพินิจที่จะไม่ว่ากล่าวตักเตือน แต่สมควรใช้ดุลพินิจปรับครั้งนี้ไม่เกินจำนวนเท่าใด และหากกระทำความผิดครั้งต่อไป จะปรับเป็นจำนวนเท่าใด
รวมถึงการกระทำความผิดหลายครั้ง ในฐานความผิดเดียวกันภายในวันเดียวกัน ควรมีการกำหนด เป็นประการใด เพื่อให้เจ้าพนักงานจราจร สามารถใช้ดุลพินิจในการว่ากล่าวตักเตือน หรือเปรียบเทียบปรับตามสมควรแต่ละกรณีได้ อีกทั้ง ผบ.ตร.ยังสามารถดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวได้อยู่แล้ว
ดังนั้น จึงยังไม่สมควรพิพากษาให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสังเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค. 2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถ หรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 23 มี.ค. 2566 โดยให้มีผลทันที หรือ ให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศดังกล่าว เพราะจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะและการบังคับใช้กฎหมาย
การที่ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศดังกล่าวนั้น
ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยบางส่วน พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองกลาง เป็นให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522
และความผิดตามกฎหมายอื่น อันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ.2566 ลงวันที่ 23 มี.ค.2566 โดยให้มีผลนับแต่วันที่พ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก