เมื่อพูดถึงยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่น ฮอนด้า และ นิสสัน เป็นชื่อที่มีความสำคัญและอยู่ในใจของผู้บริโภคทั่วโลก แต่ในตลาดที่ใหญ่ที่สุดอย่างจีน ทั้งสองบริษัทกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจนต้องพิจารณาเส้นทางใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงอนาคตของทั้งคู่ นั่นคือ ความร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่
ล่าสุดสำนักข่าวเอ็นเอชเครายงาน ว่า บริษัทฮอนด้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์ ซึ่งจะเริ่มเจรจาเรื่องการควบรวมกิจการระหว่างกันในวันนี้ (23 ธ.ค.) กำลังหาทางบรรลุข้อตกลงระหว่างกันให้เสร็จสิ้นภายในเดือน มิ.ย. 2568 และอาจจะเริ่มดำเนินการควบรวมกันได้ในปี 2569
ความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นของ "รถยนต์ไฟฟ้า" และ "ไฮบริด" ที่ผลิตโดย BYD และบริษัทอื่นๆ ได้ทำลายตำแหน่งผู้นำที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นเคยมีในฐานะผู้จัดหารถยนต์คุณภาพสูงและมีชื่อเสียงไปเสียแล้ว นั่นทำให้โรงงานในประเทศที่ผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีกำลังการผลิตที่มากเกินไป
ตลาดรถยนต์จีนที่เคยเป็นเหมืองทองคำสำหรับผู้ผลิตญี่ปุ่นกลับกลายเป็นสนามรบที่ดุเดือดขึ้นทุกวัน การเพิ่มขึ้นของความนิยมในรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดจากผู้ผลิตจีน เช่น BYD และบริษัทท้องถิ่นอื่นๆ ได้กดดันให้รถยนต์ญี่ปุ่นสูญเสียความได้เปรียบด้านคุณภาพและความเชื่อมั่นในแบรนด์
ดูเหมือนว่า Honda และ Nissan ได้สูญเสียตลาดมาสักระยะแล้ว โดยคาดว่าทั้งสองบริษัทจะลดกำลังการผลิตลงอย่างมาก เพื่อชดเชยภาระต้นทุนคงที่บางส่วนที่เกิดขึ้นในจีน
ทั้งฮอนด้าและนิสสันต้องปรับตัวอย่างหนัก นิสสันได้ลดกำลังการผลิตทั่วโลกลง 20% และในจีนกำลังเผชิญกับปัญหาการใช้งานโรงงานต่ำถึง 64% ขณะที่ฮอนด้าได้ประกาศปิดโรงงานบางแห่งและลดกำลังการผลิตลง 20% ในจีน
นิสสันผลิตรถยนต์ 779,756 คันในประเทศจีนในปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของยอดผลิตสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทที่มีฐานอยู่ในเมืองโยโกฮามา ได้เริ่มดำเนินการตามแผนลดต้นทุนซึ่งจะลดกำลังการผลิตทั่วโลกลง 1 ใน 5 เหลือ 4 ล้านคัน โดยจีนคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดผลิตที่ลดลง 1 ล้านคัน ตามที่นักวิเคราะห์ของ Citigroup Global Markets รายงาน
ฮอนด้าประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคมว่าจะปิดโรงงานและลดกำลังการผลิตลง 20% ในจีน ชินจิ อาโอยามะ รองประธานบริหารบริษัทกล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่าบริษัทกำลังเจรจากับพันธมิตรในพื้นที่เกี่ยวกับการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม
นิสสันอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวายตั้งแต่การจับกุมและปลดอดีตประธาน Carlos Ghosn เมื่อปลายปี 2018 การปรับเปลี่ยนผู้บริหารหลายครั้งและกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ล้าสมัยก็ส่งผลให้ Nissan ตกต่ำลงมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับห้าของญี่ปุ่นเมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาด โดยมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1.6 ล้านล้านเยน (10,200 ล้านดอลลาร์) นั่นทำให้ Nissan กลายเป็นเป้าหมายในการเข้าซื้อกิจการ
ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้น ฮอนด้าและนิสสันกำลังอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อลงนามในความร่วมมือที่อาจนำไปสู่การควบรวมกิจการ แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการพูดถึงการรวมตัวของทั้งสองบริษัท แต่สถานการณ์ครั้งนี้ดูเหมือนจะจริงจังและเป็นไปได้มากขึ้น
รายงานระบุว่าทั้งสองบริษัทอาจแบ่งปันโรงงานการผลิตเพื่อประหยัดต้นทุน รวมถึงการผลิตรถยนต์ไฮบริดของฮอนด้าให้กับนิสสันเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ และจีน ขณะเดียวกัน นิสสันยังถูกบริษัท Foxconn ผู้ผลิต iPhone รายใหญ่ เข้าหาเพื่อขอซื้อหุ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงกระตุ้นให้เร่งพิจารณาความร่วมมือกับฮอนด้า
การรวมตัวกันของบริษัท Honda และ Nissan เป็นสิ่งที่คาดหวังกันมานานแล้ว และเคยมีการสำรวจมาแล้วด้วยซ้ำในอดีต โดยอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่นได้รวมตัวกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งประกอบด้วยผู้ผลิตรถยนต์ทั้งสองราย และอีกฝ่ายหนึ่งควบคุมโดยกลุ่มบริษัท Toyota Motor Corp.
รายงานของ Kyodo เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ ว่า Nissan และ Honda กำลังพิจารณาร่วมมือด้านการผลิต โดยจะผลิตยานยนต์ที่โรงงานของกันและกัน นอกจากนี้ Honda ยังจะศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตยานยนต์ไฮบริดให้กับ Nissan ซึ่งกำลังประสบปัญหาในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน โดยมีความต้องการรถยนต์ประเภทดังกล่าวสูง
ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นไม่ใช่กลุ่มเดียวที่ได้รับผลกระทบในจีน บริษัท General Motors กำลังเผชิญกับค่าใช้จ่ายและการตัดหนี้สูญมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในประเทศจีน เนื่องจากบริษัทต้องการพลิกฟื้นธุรกิจที่เคยทำกำไรได้ บริษัท Volkswagen AG ของเยอรมนี รวมทั้ง BMW และ Mercedes ต่างก็ประสบปัญหาเช่นกันหลังจากตามไม่ทันเทรนด์เทคโนโลยี
นิสสันคาดว่าจะผลิตยานยนต์ได้ 3.2 ล้านคันในปีงบประมาณปัจจุบัน ซึ่งต่ำกว่าความสามารถในการผลิต 5 ล้านคันต่อปีอย่างมาก ฮิเดยูกิ ซากาโมโตะ รองประธานบริหารของนิสสันกล่าวกับนักวิเคราะห์เมื่อเดือนพฤศจิกายนว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตจะอยู่ที่ 64% ไม่รวมจีน แต่ตัวเลขดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 73%
ขณะที่ Bloomberg Intelligence มองว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เหมาะสมสำหรับผู้ผลิตรถยนต์รุ่นเก่าอยู่ที่มากกว่า 80%
7 เดือนหลังจากให้คำมั่นที่จะเพิ่มยอดขายประจำปีทั่วโลก 1 ล้านคันในช่วงสามปีข้างหน้า มาโกโตะ อูชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนิสสันได้ถอนคำมั่นนั้นเมื่อเดือนที่แล้วเมื่อประกาศมาตรการปรับโครงสร้างบริษัท แม้จะมีแผนจะเลิกจ้างพนักงานและปิดโรงงาน แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะเกิดขึ้นที่ใด
ซากาโมโตะ รองประธานบริษัทนิสสัน กล่าวว่า บริษัทกำลังปรับความเร็วในการผลิตและตารางการทำงานเป็นกะ โดยผสานสายการผลิตเก่าเข้ากับสายการผลิตใหม่ เทคโนโลยีการผลิตรุ่นต่อไปที่นำมาใช้ในโรงงานโทชิงิจะถูกนำไปใช้ในโรงงานอื่น ๆ เพื่อประหยัดจำนวนพนักงาน มาตรการเหล่านี้น่าจะเริ่มเห็นผลได้เร็วที่สุดในปีหน้า
อนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นในจีน
การเจรจาระหว่างฮอนด้าและนิสสันไม่ใช่แค่เรื่องของสองบริษัท แต่เป็นภาพสะท้อนของความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่นในยุคที่จีนกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีใหม่ ๆ นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า หากทั้งสองบริษัทสามารถผสานความเชี่ยวชาญและลดต้นทุนได้สำเร็จ นี่อาจเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน
ในอีกมุมหนึ่ง การเจรจาที่กำลังจับตามองนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการยอมเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอดในยุคที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
แม้ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ แต่ความร่วมมือระหว่างฮอนด้าและนิสสันกำลังกลายเป็นหัวข้อที่ทั่วโลกจับตามอง หากสำเร็จอาจเป็นโมเดลใหม่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นในการรับมือกับความท้าทายจากจีน แต่หากล้มเหลว ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการลดบทบาทในตลาดจีนของยักษ์ใหญ่ทั้งสองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้