จับตา "จีน" พร้อมยึดบัลลังก์อุตสาหกรรมรถยนต์โลกได้จริง?

19 ธ.ค. 2567 | 15:45 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ธ.ค. 2567 | 15:45 น.

กระแสข่าวการควบรวมกิจการของฮอนด้าและนิสสันสะเทือนวงการ เมื่อคู่แข่งจากจีนกำลังยกระดับจากผู้ผลิตรถยนต์ธรรมดาสู่ศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ระดับโลก ด้วยศักยภาพการผลิตที่ขยายตัวและการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างชัดเจน

กระแสการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก ข่าวที่ว่าฮอนด้าและนิสสันอาจพิจารณาควบรวมกิจการได้กลายเป็นประเด็นที่จับตามอง เนื่องจากสองแบรนด์นี้เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน 

สำนักข่าว Nikkei รายงานว่า การเจรจาอย่างเป็นทางการ รวมถึงการควบรวมกิจการที่อาจเกิดขึ้นระหว่างบริษัทญี่ปุ่นทั้งสองแห่งอาจเริ่มต้นได้เร็วที่สุดในวันที่ 23 ธันวาคม การเจรจาดังกล่าวมีศักยภาพที่จะก่อตั้งบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับผู้นำในอุตสาหกรรมอย่าง Toyota Motor Corp. และบริษัทอื่นๆ ในตลาดโลกที่ผันผวน

การควบรวมกิจการครั้งนี้หากเกิดขึ้นจริง อาจเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพให้กับทั้งสองบริษัท เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งระดับโลก เช่น เทสลา และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน

จีนกำลังก้าวสู่บทบาทใหม่ในฐานะศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของโลก ด้วยศักยภาพในการผลิตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน นี่ไม่ใช่แค่การพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่เป็นการสร้างอิทธิพลระดับโลกที่ไม่มีใครมองข้ามได้ 

จีนมีศักยภาพในการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มากกว่า 40 ล้านคันต่อปี แต่ด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก การผลิต EV จึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

โดย Goldman Sachs คาดการณ์ว่าจีนจะผลิต EV ได้ 20 ล้านคันภายในปี 2024 และเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 25 ล้านคันภายในปี 2025 ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเพิ่มกำลังผลิตที่เกือบ 4 ล้านคันต่อปี 

ตลาดรถยนต์ในประเทศจีนมีการปรับตัวครั้งใหญ่ ความต้องการรถยนต์แบบดั้งเดิมลดลงเหลือเพียง 10 ล้านคันต่อปี ขณะที่ยอดขาย EV ในประเทศพุ่งสูงขึ้น ทำให้ศักยภาพการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของความต้องการภายในประเทศ 

จากการส่งออกรถยนต์เพียง 1 ล้านคันในปี 2020 จีนได้เพิ่มจำนวนการส่งออกเป็น 6 ล้านคันต่อปีในปี 2024 และกำลังสร้างศักยภาพในการส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดโลกอีกหลายล้านคัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากธนาคารของรัฐจีนที่ให้สินเชื่อแบบไม่มีข้อจำกัด และค่าเงินหยวนที่อ่อนตัวลง 

อุตสาหกรรม EV ของจีนไม่ได้เติบโตด้วยตัวเอง

แต่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนอย่างชัดเจน เช่น การอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ มาตรการนี้ช่วยให้บริษัทจีน เช่น CATL และ BYD เติบโตขึ้นจนกลายเป็นผู้นำด้านการผลิตแบตเตอรี่ และสนับสนุนการขยายตัวของตลาด EV ในประเทศ 

ศักยภาพการผลิตที่เกินของจีนได้เปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เข้าสู่ยุคใหม่

คล้ายกับการรวมศูนย์การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอดีต ตลาดโลกกำลังเผชิญกับการรวมศูนย์การผลิตยานยนต์ในภูมิภาคเดียว ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการแข่งขันในตลาดโลก 

แม้ว่าจีนจะมีศักยภาพในการผลิตและส่งออกที่เหนือกว่า แต่ความเสี่ยงด้านการเมืองและการค้าระหว่างประเทศยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ อย่างไรก็ตาม จีนยังคงเดินหน้าสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรม EV