กฎเหล็ก สธ. ทำ "เด็กหลอดแก้ว" คู่สามีภริยาต้องจดทะเบียนสมรสเท่านั้น

13 ธ.ค. 2567 | 16:45 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ธ.ค. 2567 | 16:46 น.

กรม สบส. แจงชัดรับบริการเด็กหลอดแก้ว (IVF) ต้องเป็นคู่สามีภริยาจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ย้ำ สถานพยาบาลต้องประเมินผู้รับบริการอย่างเข้มงวด ป้องกันมิให้เกิดการหาผลประโยชน์จากเด็กโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายกำหนด

จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียลถึงนักแสดงหญิงรายหนึ่งซึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ตนเองเคยผ่านการทำ เด็กหลอดแก้ว (IVF) มาถึง 4 ครั้งโดยไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกับสามี จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่า การทำ IVF จะต้องมีการจดทะเบียนสมรสหรือไม่ นั้น 

ล่าสุด ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) เปิดเผยว่า ในสภาวะสังคมปัจจุบันที่หลายครอบครัวประสบปัญหาภาวะ "มีบุตรยาก" เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ถือเป็นความหวังในการช่วยให้ครอบครัวเหล่านี้ได้มีบุตรเพื่อการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ด้วยการนำไข่และอสุจิมาผสมกันให้มีการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเพื่อให้เกิดตัวอ่อน

ก่อนนำตัวอ่อนย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูกของภริยาเพื่อให้เกิดการฝังตัวและเกิดการตั้งครรภ์ต่อไปซึ่งในการขอรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ทั้งในส่วนของผสมเทียมและเด็กหลอดแก้วในสถานพยาบาลไทยนั้น

พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558

-กำหนดให้จะต้องกระทำในสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ โดยปัจจุบันมี 115 แห่ง

-ต้องกระทำในคู่สามีภริยาที่มีการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือ จดทะเบียนสมรสที่ต่างประเทศและกฎหมายไทยให้การรับรองเท่านั้น

-ไม่สามารถให้คู่สามีภริยาที่มิได้จดทะเบียนสมรสกระทำได้

-แพทย์ผู้ให้บริการจะต้องมีการประเมินความพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ สภาพแวดล้อมก่อนให้บริการ เช่น ข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ปัจจัยด้านครอบครัว เศรษฐานะ อาชีพ กรณีที่พบความผิดปกติทางด้านสภาพจิตใจต้องผ่านการประเมินจากจิตแพทย์เพิ่มเติม

ทั้งนี้ การประเมินผู้รับบริการตามที่กฎหมายกำหนดนั้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้รับบริการในการช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์แล้ว ยังเป็นการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายกำหนดอีกด้วย

กรม สบส. ขอเน้นย้ำให้ผู้ประกอบกิจการและผู้ดำเนินการสถานพยาบาลทุกแห่งกวดขันการให้บริการเทคโนโลยีช่วยทางการแพทย์ซึ่งอยู่ในการดูแลของตนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด มีการสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้รับบริการถึงเงื่อนไขในการรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในประเทศไทย

หากสถานพยาบาลมีการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และร่วมเป็นหูเป็นตาให้กับภาครัฐ ย่อมป้องปรามมิให้เกิดการกระทำผิด และขจัดมิให้เกิดการลักลอบเป็นเอเจนซี่ หรือนายหน้าชักชวนให้มีการนำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งขัดต่อหลักกฎหมาย และศีลธรรม

กรณีมีข้อสงสัย หรือต้องการคำปรึกษา สามารถติดต่อได้ที่ กลุ่มคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรม สบส. หมายเลขโทรศัพท์  0 2193 7000